เราทุกคนล้วนอยากให้สมองสดใส พัฒนาไปได้เรื่อย
ๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ทราบหรือไม่ว่าแม้จะเริ่มต้นที่วัย 50
ก็ยังไม่สาย?
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแพทย์ญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญทางสมอง
ผู้เขียนหนังสือที่มีการแปลเป็นภาษาไทยก่อนหน้านี้แล้วสองเล่ม คือ “66
วิธีลับคมสมอง” และ
“ยิ่งเรียนสูง
เรียนเก่ง ยิ่งต้องปรับตัว”
ที่ครูเคยรีวิวไปแล้วทั้งคู่ค่ะ
เล่มสามนี้เนื้อหาก็คล้าย ๆ กัน แต่ครูรู้สึกว่าภาษาอ่านง่ายกว่าค่ะ
ในเล่มจะมีเช็คลิสต์ให้คุณตรวจสอบอยู่ 3
หมวดเพื่อทดสอบว่าสมองคุณเริ่มอ่อนแอลงหรือยัง
นอกจากนี้คุณหมอยังมีวิธีฝึกสมองเพื่อป้องกันสมองเสื่อมแบบง่าย
ๆ มาแนะนำด้วยถึง 34 วิธี
ไม่ต้องรออายุ 50 ก็ฝึกได้นะคะ และข่าวดีคือ
สมองมนุษย์สามารถพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ แม้จะอายุ 100 ปีค่ะ
คุณเลือกได้
ว่าจะใช้ชีวิตแบบมีสมองที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ หรือสมองที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ
***คำเตือน***
บทรีวิวเล่มนี้จะยาวและละเอียดหน่อยนะคะเพราะครูเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับทุกท่าน
คุณผู้อ่านสามารถค่อย ๆ ทยอยอ่านวันละนิดก็ได้ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้พักสมองส่วนที่ใช้บ่อยและหันมาใช้สมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้
* การใช้สมองบางส่วนจนล้าและตึงเครียด
และการไม่ใช้สมองให้ทั่วทุกส่วนเป็นสาเหตุให้สมองเสื่อม
* คนอายุเกิน 40 ปี ส่วนมากจะรู้สึกว่า “ทำงานก็ใช้สมองนะ
แต่ทำไมความจำกลับแย่ลง” ทั้งนี้เพราะพวกเขาใช้สมองส่วนความคิดหนักเกินไป
*
สาเหตุหนึ่งคือพวกเขาใช้สมองที่เฝ้าเกาะติดกระแสข้อมูลข่าวสารของโซเชียลมีเดียมากเกินไป
* สังคมดิจิทัลทำให้สมองบางส่วน “ไม่ถูกใช้งาน” ดังนั้นถ้าไม่พยายามปรับสภาพสมองด้วยตัวเอง
ก็จะสมองเสื่อมได้ง่าย
* เพื่อให้สมองพัฒนาต่อไปได้แม้จะเลยวัย 40-50
ปีไปแล้ว เราต้องหมั่นสังเกตเอาใจใส่อยู่เสมอว่า “เราใช้สมองไปเพื่ออะไรบ้างและใช้มันอย่างไร”
* สิ่งที่เป็นตัวฉุดให้สมองเสื่อม คือ “การใช้ชีวิตที่ทำแต่เรื่องเดิม
ๆ จนชินชาไปเรื่อย ๆ”
* สมองคนล้าจนเสื่อมลงทุก ๆ
วันเนื่องจากเราใช้สมองซีกซ้ายหนักเกินไป จนสมองส่วน “การมองเห็น” “ความเข้าใจ” และ
“การจดจำ” เสื่อมหนักมาก
เราแก้ได้ด้วยการใช้สมองซีกขวาเพิ่มขึ้น
* ควรหัดใช้ดินสอเขียนแทนการพิมพ์คอมพ์
ควรฝึกคิดไปเขียนไป
*
ควรอ่านหนังสือแทนการดูโทรทัศน์หรือคลิปวีดิโอ จะทำให้ได้ “ใช้ความคิด” แทนการเป็น
“ฝ่ายรับสาร”
*
วิธีพักสมองส่วนหนึ่งไปใช้อีกส่วนหนึ่งของคุณหมอคือ ลุกขึ้นยืนเมื่อความคิดตีบตัน
และชมทิวทัศน์หรือภาพเขียนหลังไปพูดในงานสัมมนา
* เมื่อเข้าสู่วัย 40-50 ปี
ร่างกายจะเริ่มสึกหรอ สิ่งที่เคยทำได้ง่าย ๆ อาจทำไม่ได้อีกต่อไป
คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะไม่มีอาการเหล่านี้
แต่คนทั่วไปที่ไม่ออกกำลังกายเลยจะรู้สึกถึงความชราง่ายกว่า สมองก็เช่นกัน
* แบบตรวจสอบ 15 ข้อว่าสมองคุณอ่อนแอหรือไม่
ถ้าตอบใช่เกินครึ่ง แสดงว่าสมองเริ่มอ่อนแอ
1. ใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือน ๆ กัน
2. กลางคืนยังใช้ชีวิตเหมือนตอนกลางวัน
3. นอนน้อยกว่าวันละ 6 ชั่วโมง
4. หอบงานกลับมาทำที่บ้าน
5.
ไม่ห่างจากคอมพิวเตอร์หรือมือถือแม้ในวันหยุด
6. ไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวมานานกว่า 1 ปี
7. ช่วงนี้ไม่ได้ไปภูเขาหรือทะเล
8. ใช้แต่มือข้างที่ถนัด
9. ไม่ได้พบปะคนหน้าใหม่เลยใน 1
สัปดาห์ที่ผ่านมา
10.
ไม่ได้เข้าสัมมนาหรืออบรมเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่
11. ไม่ได้แวะดูหรือซื้อเสื้อผ้าจากห้างเลย
12. ไม่ได้ร่วมทำงานอาสาสมัคร
13. ไม่ได้สวดมนต์
14. ไม่ได้หัวเราะดัง ๆ
15.
ไม่ได้ออกไปดูดาวหรือพระจันทร์ยามค่ำคืนแม้อากาศดี
*
เมื่อไม่ได้ใช้สมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์แล้วไม่สบายใจ เป็นเพราะสมองส่วนการมองเห็น
ความเข้าใจ และการจดจำอ่อนแอลง
* อาการ “สมองอ่อนแอ” 6 อย่าง คือ
1. คุยกับคนต่างวัยไม่รู้เรื่อง
2. ลืมว่าจะลุกไปทำอะไร
3. คิดคำพูดขณะสนทนาไม่ออก
4. จัดการธุระหลายเรื่องพร้อมกันไม่ได้
5. ไม่กระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า
6. โกรธง่าย
* เมื่ออายุมากขึ้น ขอบเขตการใช้ชีวิตก็จะแคบลง
ความหมกมุ่นอยู่กับตัวเองก็มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการปิดกั้นตนเอง
* การ “ลืมว่าจะลุกไปทำอะไร” นั้นเป็นกันมาตลอดทุกยุคทุกสมัย
แต่สำหรับยุคนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากการพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการจดจำ เช่น
สมาร์ตโฟน มากเกินไป
* เพราะถ้าเราเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำภายนอก
สมองก็จะตีความว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้สมองด้านการจดจำก็ได้” สมองจึงไม่พยายามคิดให้ออกหรือปรับตัว
*
คนยุคปัจจุบันจะใช้พื้นที่สมองหลายส่วนพร้อมกันได้ไม่ดีเพราะขาดการใช้มือขีด ๆ
เขียน ๆ
* ถ้าเรามีเรื่องที่ไม่อยากทำ
หรือเรื่องที่ทำไม่ได้ บางทีก็เป็นภาพสะท้อนจากสมองที่เหนื่อยล้า
* ช่วงที่มีเรื่องกลุ้มใจ
คงยากที่จะตื่นรับวันใหม่อย่างสดใส เพราะขณะนอนหลับ
สมองด้านความคิดไม่ได้หลับไปด้วย ยังคงทำงาน ถูกกระตุ้นอยู่ตลอดคืน
จึงรู้สึกเหนื่อย
* ควรปรับสภาพสมองด้วยการหัวเราะกับตัวเองบ้าง
การหัวเราะคือการปรับสภาพสมองที่ดีเยี่ยม
* ขณะที่เราโมโห
สมองด้านความคิดจะใช้ออกซิเจนมากกว่าปกติ จึงทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ คือ
เกิดสภาวะที่อัตราส่วนออกซิเจนไม่สมดุล ส่งผลให้สมองทำงานไม่ปกติ
ดังนั้น ถ้าโกรธเมื่อให้ให้รู้ว่า “สมองกำลังไม่ปกติ”
* การหัวเราะเป็นการเติมออกวิเจนให้สมองส่วนความคิดอย่างพอดี
ทำให้พร้อมสำหรับการคิดอย่างยืดหยุ่น
* การหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งที่ไม่ถนัด
ทำให้สมองไม่พัฒนา การเรียนวิชาที่ไม่ถนัดเป็นการลับสมอง
* อายุ 50 ปี คือจุดเปลี่ยนของสมอง ช่วง 50
ปีแรกของชีวิต สมองเรียนรู้มาหลายเรื่อง ระหว่างนั้นจะเกิด “ความเคยชิน” ที่กลายเป็นลักษณะเฉพาะตัว
ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนจากจุดนั้นจะไม่พัฒนาต่อ
* บางคนอาจคิดว่า “หลังอายุ
50 สังขารย่อมโรยรา” นี่เป็นความคิดที่เกิดจากการที่เห็นว่าคนส่วนมากเป็นอย่างนั้นโดยไม่วิเคราะห์
ทั้งยังใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตและความเชื่อแบบเดิม ๆ โดยไม่คิดแก้ไขปรับปรุงอะไร
* สมองที่ไม่มีการเรียนรู้ ไม่ก้าวหน้า
ไม่มีการรับรู้ที่หลากหลายในแต่ละวัน ซ้ำยังไม่มีความเพลิดเพลิน คือสมองที่อ่อนแอ
* การค้นพบสิ่งใหม่ ๆ
ทุกวันสำคัญมากเมื่อสูงวัย ควรมีสมุดบันทึกไว้จด “สิ่งใหม่ ๆ ที่ทำ” ยิ่งอายุ
50 แล้วยิ่งควรเริ่มฝึก
* การเลือก “ทำแต่เรื่องที่ทำได้” ทำให้เสียโอกาสพัฒนาสมอง
*
ภาพถ่ายสมองของคนที่มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น พบว่าสมองมีการใช้งานทั่วทุกส่วน
* ความรักผู้อื่นมาจากการใช้สมองซีกขวา
คนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมของการคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นจากพฤติกรรมของจน
จึงมีพฤติกรรมที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ทำเพื่อความสุขของผู้อื่น
* แต่พอวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามา
ทำให้มองหาความสะดวกสบายจนกลายเป็นใครพูดก่อนทำก่อนก็ได้เปรียบ
* ถ้าความคิดไม่แคร์ใครยังคงอยู่ต่อไป
สมองซีกซ้ายที่ทำงานหนักและสมองซีกขวาที่ไม่ได้ใช้งานจะกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานไป
และจะกลายเป็นสมองล้าอ่อนแอในที่สุด
* ในสหรัฐอเมริกา
โรคที่ใช้ค่ารักษาพยาบาลมากที่สุดคือโรคสมองเสื่อม
รองลงมาคือโรคหัวใจและมะเร็งตามลำดับ
* ดังนั้น การเอาใจใส่พัฒนาสมองหลังอายุ 50
ปีอาจเป็นวาระส่วนบุคคลก็จริง แต่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการบริหารประเทศด้วย
* สมองเริ่มเสื่อมตั้งแต่วินาทีที่คิดว่า “อยู่อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ความเคยชินต่อสภาพแวดล้อมแม้จะทำให้เรารู้สึกมั่นคงและปลอดภัยก็ทำให้เราขาดความแปลกใหม่ด้วย
* เมื่อขาดความแปลกใหม่ สมองก็ขาดการตอบสนอง
การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมนาน ๆ สมองจะไม่ได้ใช้งานและเสื่อมลงเรื่อย ๆ
* วิธีป้องกันโรคสมองเสื่อมได้อย่างดี คือ
การตั้งเป้าหมายว่าจะมีชีวิตยืนยาวและแข็งแรงถึง 100 ปี
*
ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีการเปรียบเทียบการทำงานของสมองคนที่มีอายุ 100
ปีและมีการศึกษา กับคนที่มีอายุ 100 ปีแต่ไม่มีการศึกษา พบว่าคนที่ไม่มีการศึกษามีอัตราการเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่า
* ผู้ชายที่แต่งงานกับ “ภรรยาคนเก่ง” มีแนวโน้มที่สมองจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็วถ้ามีภรรยาคอยจัดการให้ทุกอย่างมาตลอด
* จงใส่ใจการทำงานของสมอง
ถ้าทำแต่กิจกรรมที่ใช้แต่ภาษา ก็ให้หันมาวาดภาพ ระบายสี หรือกิจกรรมที่ “ไม่ใช้สมองซีกซ้าย” ดูบ้าง
* การจัดห้อง ทำความสะอาดบ้าน
ก็เป็นการใช้สมองซีกขวา
*
ผู้หญิงส่วนใหญ่เติมพลังให้สมองได้เก่งกว่าผู้ชาย
* การศรัทธาในศาสนาก็ดี
และการใส่ใจแต่งตัวแต่งหน้าทำผมก็ดี เป็นการใช้สมองซีกขวา
* คนที่ไม่มีเวลาเดินทางท่องเที่ยว
ถ้าได้เปลี่ยนสถานที่สักหน่อยก็ได้ผลดีเช่นกัน เช่น
การใช้เส้นทางที่ไม่ได้ใช้ประจำ การเข้าร้านค้าที่ไม่เคยเข้า
การพูดคุยกับพนักงานหรือลูกค้าคนอื่น ๆ
ก็เป็นการเปิดรับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและเป็นการกระตุ้นสมองซีกขวา
* ศีลธรรมและมารยาท ช่วยพัฒนาสมองซีกขวา
* การใช้ร่างกายซีกไหนก็เป็นการกระตุ้นสมองอีกซีกหนึ่ง
ดังนั้น
คนรุ่นใหม่ที่ใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไปก็ควรพยายามใช้ร่างกายซีกซ้ายเพื่อกระตุ้นสมองซีกขวาให้มากที่สุด
* คนเรามักไม่รู้จักตนเอง
แต่ถ้าดูจากสมองก็จะรู้ว่าความเป็นตัวเราล้วนสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัว
* ดังนั้น ถ้าสั่งสมประสบการณ์ดี ๆ
ไว้หลากหลายก็จะเป็น “การปรับสภาพสมอง” ให้สมองพัฒนาครบทุกด้าน
* เราสามารถออกแบบสมองด้วยตนเองได้
เริ่มจากตั้งเป้าว่าเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไร และตั้งสติทำเช่นนั้นทุก ๆ
วันพร้อมจดบันทึกลงไปด้วย เช่น ตั้งเป้าว่าจะนั่งเก้าอี้ให้ลึกเพื่อให้หลังตรงตลอด
หรือ อาจกำหนด “ช่วงเวลาช่วงนี้ของวัน” เพื่อเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต
เช่น ออกกำลังกาย ฯลฯ
* การแก้ไขความเคยชินต้องใช้เวลา
วิธีที่ได้ผลดีคือ ให้ค่อย ๆ
เริ่มทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนไปทีละขั้นอย่างเพลิดเพลิน เพราะความรู้สึก “สนุก” ทำให้สมองทำงานได้ดี
* การพบเจอคนดี คือการปรับสภาพสมองอย่างหนึ่ง
คงไม่มีใครอยากบกับคนที่ทำให้รู้สึกแย่อีกเป็นครั้งที่ 2
เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังทำให้สมองเครียดและอ่อนแอ
*
การสังเกตใบหน้าผู้คนตามที่สาธารณะและจินตนาการว่าเขาน่าจะมีอาชีพอะไรหรือกำลังรู้สึกอย่างไร
เป็นการฝึกสมองซีกขวาอย่างหนึ่ง (ครูขอเสริมว่า
ให้ส่งจิตแผ่เมตตาให้ผู้นั้นไปด้วยก็จะยิ่งดีค่ะ ครูทำบ่อยค่ะ)
*
คนที่ใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ค่อยได้เห็นสัตว์หรือรูปภาพ หรือคนที่ชอบอยู่เฉย ๆ
มากกว่าออกไปทำกิจกรรม มีโอกาสสูงที่สมองด้านการมองเห็นจะแย่ลง
* การไม่ได้ใช้สมองด้าน “ความเข้าใจ” ของสมองซีกขวา
สังเกตได้จากการจัดเก็บข้าวของไม่เก่ง การตกแต่งห้องไม่สวย
ใช้มีดเล่มเดียวทำอาหารไม่ได้ พูดตลกไม่เป็น หรือตามมุกตลกคนอื่นไม่ทัน
*
ตัวอย่างเช็คลิสต์บางส่วนเพื่อการตรวจสอบมองใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าคุณเป็นเช่นนั้นแสดงว่าสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกำลังเสื่อมลง
(ในเล่มมีทั้งหมด 21 ข้อค่ะ ครูคัดมาบางส่วน)
1. ไม่ได้เสียเหงื่อเลยใน 1 สัปดาห์
2. ไม่เปลี่ยนมือเวลาถือกระเป๋า
3. ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาให้ใคร
4. ไม่ได้จับดินสอหรือปากกาเขียนหนังสือเลย
5. ไม่ได้เล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวหรือเดินทางให้ใครฟัง
6. ไม่ได้ใช้เส้นทางใหม่ ๆ ไปทำงาน ไปเรียน
หรือไปซื้อของ
7. ไม่ได้พูดคำว่า “ขอบคุณ”
8. คุยกับคนที่กำลังสูบบุหรี่
9. ไม่มีเรื่องที่รู้สึกว่า “สนุกจัง”
10. ไม่ได้ให้ของขวัญใคร
11. ไม่ได้คุยเรื่องทั่วไปกับคนที่อายุต่างกัน
20 ปี
*
การออกกำลังกายเป็นการปรับสภาพสมองที่ทำได้ง่ายมาก
*
วิธีกระตุ้นสมองด้านการมองเห็นอย่างเหมาะสมคือ
การมองภาพที่ปรากฏอยู่จริงผ่านสายตาตนเอง ไม่ใช่มองผ่านจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์
และหัดมองภาพตรงหน้าให้กว้าง ๆ
* สมองส่วนที่ไม่ได้ใช้จะ “โง่ลง” โดยเฉพาะสมองที่เอาแต่พึ่งพาหน่วยความจำภายนอกเช่น
อินเทอร์เน็ท
* วิธีฝึกสมอง “ภาคปฏิบัติ” (ในเล่มมีถึง 34 วิธีค่ะ)
1. สั่งอาหารจากภาพโดยไม่ดูตัวหนังสือ
2. ห้องที่จัดเป็นระเบียบสร้างสมาธิได้มากกว่า
แม้แต่ไฟล์และโฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บไม่เป็นระเบียบจนดูรกก็หายากก็เป็นตัวสะท้อนสภาพในสมองของคุณ
3.
ลองกำหนดหัวข้อสิ่งที่คุณจะมองหาขณะกำลังเดินทางไปทำงาน เช่น กระเป๋าน่ารัก ๆ
ที่เด็กมัธยมถือ
4. อย่ายึดติดแบรนด์ตอนซื้อเสื้อผ้า
ให้หัดเลือกให้เหมาะกับตนเองด้วยสายตาของตนเอง เช่น สีไหน ลายไหนเหมาะ
5. หัดมองฟ้าแล้วคาดเดาสภาพอากาศ
6. ให้นวดหนังศีรษะเผื่อให้สายตาผ่อนคลาย
และยังช่วยคลายเครียดให้สมองด้วย
7. การสังเกตสัตว์เลี้ยงและต้นไม้
ช่วยกระตุ้นระบบการมองเห็น
8. ปรับปรุงบุคลิกให้ยืนนั่งหลังตรง
จะช่วยสมองด้านความเข้าใจ
9. กินพออิ่ม 6 ใน 10 ส่วน
สังเกตว่ากินอะไรแล้วง่วง กินอะไรแล้วสบายท้อง กินอะไรอยู่ท้อง
กินอย่างไรจึงจะมีแรงและสดชื่น
10. แปรงฟันด้วยมือที่ไม่ถนัด และทำกิจกรรมอื่น
ๆ ด้วยมือที่ไม่ถนัดด้วย
11. การสวดมนต์ นั่งสมาธิ
เป็นการปรับสภาพสมองที่ดีมาก
12. เขียนข้อดี 5 ข้อของคู่ชีวิต
13. เขียนบันทึกเรื่องดี ๆ
ตอนที่นึกแล้วเขียนจะรู้สึกดี และยังช่วยการจดจำ ป้องกันอัลไซเมอร์ได้
14. ฟังเพลงเก่าสมัยหนุ่มสาวเป็นประจำ
15. คิดตารางเวลาแบบย้อนหลัง
16. หาเวลาอยู่คนเดียวโดยไม่ใช้สมาร์ทโฟนบ้าง
ไม่เช่นนั้นสมองจะเสื่อม
17. ทิ้งของที่ไม่จำเป็นไปบ้าง
การจัดระเบียบตู้เก็บของเป็นการจัดระเบียบความจำ
18. ยามท้อแท้ ผิดหวัง อ่อนล้า
ลองกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าของคุณ
19. กลับไปเยือนสถานที่เดิมที่เคยไปเมื่อ 10
ปีที่แล้ว
* อย่าคิดว่า “ถ้าอยู่ได้จนอายุ 80 ปีก็ดีถมไปแล้ว
เวลาที่เหลือก็ใช้ให้หมด ๆ ไป”
เพราะจะเป็นการสะกดจิตตัวเอง ส่งผลให้ระยะเวลา
10 ปีก่อนจะถึงอายุ 80 ปีสมองจะเกิดเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
* อย่าเข้าใจผิดว่าสมองมีแต่จะเสื่อมลง
เพราะในความเป็นจริงแล้วสมองสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้เรื่อย ๆ
=ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ในยุคนี้ สมองเสื่อมได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดังนั้นคนทุกวัยควรตั้งใจฝึกสมอง “ทันที” สำหรับครูเอง
ได้ใช้มือซ้ายขีดไฮไลท์ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่ม
และพยายามใช้มือซ้ายมากขึ้นค่ะ
* การหมั่นฝึกใช้สติคอยสังเกต
เอาใจใส่ในชีวิตประจำวัน เป็นวิธีพัฒนาสมองที่ทำได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา
* การหมั่นส่งความเมตตาปรารถนาดีให้ผู้อื่น
ส่งผลดีต่อสมองทุกส่วนค่ะ
หนังสือชื่อ “ปรับสมองไม่ให้เสื่อม” โดย
Kato Toshinori แปลโดย
กิ่งดาว ไตรยสุนันท์ สำนักพิมพ์ Nanmeebooks
Fan 220 หน้า ราคา 225 บาท
มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น