วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 482 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” ค่ะ

ยิ่งหิวยิ่งอายุยืนจริงหรือ

มาอ่านรีวิวแล้วตัดสินกันเองดีกว่า

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 482 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” ค่ะ




=ภาพรวม=

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแพทย์ญี่ปุ่นที่เคยเขียนหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งสุขภาพดี” ที่ครูเคยรีวิวไว้นานแล้ว

เนื้อหาคล้ายเล่มเก่าแต่จะเน้นไปที่ประเด็นอายุยืนมากกว่าเล่มที่แล้ว

สิ่งที่ผู้รีวิวรู้สึกยินดีกับคุณหมอไปด้วยจากการอ่านเล่มสองของคุณหมอก็คือ “รู้สึกว่าคุณหมอได้เติบโตขึ้นทางจิตวิญญาณ” ค่ะ

นั่นคือ เล่มที่แล้วท่านจบเล่มด้วยประโยคทำนองว่า เป้าหมายชีวิตคือการมีผิวดีและหน้าท้องแบนราบ ซึ่งครูก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เป้าหมายชีวิตคนเรามีเพียงแค่นั้นหรือ

การมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาว น่าจะหมายถึง การมีโอกาสได้รับใช้ผู้อื่นหรือมอบสิ่งดี ๆ ให้กับโลกได้มากขึ้น นานขึ้น มิใช่หรือ?

ในที่สุดในเล่มนี้คุณหมอก็คิดเช่นนั้นได้ แต่กว่าจะคิดได้ท่านก็ต้องสูญเสียคุณพ่อของท่านไปก่อน

เรียกได้ว่า การจากไปของคุณพ่อของคุณหมอเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณหมอเริ่มถามตนเองว่า “คนเราเกิดมาทำไม?” ค่ะ ดังนั้นในเล่มนี้นอกจากเรื่องสุขภาพแล้วคุณหมอยังพูดถึงเป้าหมายของชีวิตด้วย

มาดูประเด็นต่าง ๆ ที่คุณหมอพูดถึงในเล่มนี้กันดีกว่า

=น่าสนใจจากในเล่ม=

* ถ้าคุณมีชีวิตเหลืออยู่อีกแค่ 3 วัน หรือ 3 เดือน หรือ 3 ปี คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร

* คนส่วนใหญ่จะมีความสนุกสนานรื่นรมย์เป็นเป้าหมายระยะสั้น มีสิ่งพิเศษที่อยากทำเป็นเป้าหมายระยะกลางของชีวิต

* ส่วนเป้าหมายระยะยาว มักเป็นการดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนทุกวัน (โดยชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่มุ่งทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด – ผู้รีวิว)

* คุณหมอผู้เขียนกล่าวว่า ถ้าตนมีชีวิตเหลืออีกแค่ 3 ปี ก็ยังจะคงผ่าตัดมะเร็งเต้านมให้กับคนไข้อย่างเดิมทุกวัน และ “เพื่อที่จะให้มีสุขภาพดีไปทำงานเช่นนั้นได้ทุกวัน” ตนเองจึงเลือกกินอาหารวันละมื้อ เข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้าตรู่

* และด้วยการใช้ชีวิตให้ “หิวเสมอ” อย่างนั้น ผลพลอยได้ที่ผู้เขียนได้มาก็คือ ความดูอ่อนเยาว์และการมีร่างกายที่ผอมเพรียวลงกว่าแต่ก่อนที่น้ำหนักเกิน และคุณหมอทำเช่นนี้มาสิบกว่าปีแล้ว

* แต่คนที่คิดเพียงว่าการกินอาหารวันละมื้อเป็นเพียงวิธีไดเอตและย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มสาว คุณหมอเชื่อว่าพวกเขาคงจะทำไม่สำเร็จแน่นอน เพราะสนใจแต่ผลพลอยได้จนมองไม่เห็นเป้าหมายของชีวิต

* กลไกในร่างกายคนมีวิธีการใช้พลังงานอยู่ 2 ประเภท คือ “การออกกำลังแบบใช้ออกซิเจน” ซึ่งใช้พลังงานจากไขมัน กับ “การออกกำลังแบบไม่ใช้ออกซิเจน” ซึ่งใช้พลังงานจากน้ำตาล

ในเล่มนี้คุณหมอจะเรียกย่อว่า “วงจรไขมัน” และ “วงจรน้ำตาล”

* นักวิ่งมาราธอนจัดอยู่ในหมวดแรก ส่วนนักขว้างค้อนจัดอยู่หมวดหลัง

* ร่างกายมนุษย์จะเก็บสะสมไขมันไว้เป็นแหล่งพลังงานในยามฉุกเฉิน ดังนั้น เวลาเราลดน้ำหนัก ร่างกายจึงเลือกใช้ไขมันก่อนเป็นอย่างแรก ถ้าร่างกายมีไขมันส่วนเกิน เราก็ควรกำจัดพวกมันออกไปเสียก่อน

* เวลาร่างกายเผาผลาญไขมัน มันจะไม่เผาผลาญน้ำตาล และเวลาร่างกายเผาผลาญน้ำตาลก็จะไม่เผาผลาญไขมัน ถ้าเราเลือกใช้วงจรทั้งสองอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

* ร่างกายสามารถเก็บสะสมน้ำตาลได้เพียงเล็กน้อย คือเพียง 800 แคลอรี่เท่านั้น

แต่วันหนึ่งผู้ชายจำเป็นต้องใช้พลังงานถึง 2,000 แคลอรี่ ส่วนผู้หญิงจะใช้ 1,800 แคลอรี่ ถ้าเราใช้ชีวิตโดยใช้พลังงานจากน้ำตาลเพียงอย่างเดียว มันก็จะหมดอย่างรวดเร็ว เราจึงรู้สึกหิวอยู่บ่อย ๆ

* ถ้าคนที่ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยลุกขึ้นมาวิ่ง น้ำตาลหรือไกลโคเจนในกล้ามเนื้อจะถูกเผาผลาญก่อน ทำให้เกิดกรดแลคติคซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้า ทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายได้นาน ๆ

* ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อน้ำตาลถูกเผาผลาญหมด ก็จะหิวจนต้องกินอาหารเข้าไป ถ้ากินมากไปก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน จึงเป็นเหตุให้ออกกำลังกายแล้วกลับอ้วนขึ้น

* แต่ถ้าอดทนไม่กินอาหารแล้ววิ่งต่อไป ในที่สุดร่างกายก็จะเริ่มเผาผลาญไขมัน แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน คุณหมอผู้เขียนจึงแนะนำให้คน “ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน” แทน

* คนที่เคลื่อนไหวร่างกายในสภาพที่รู้สึกหิวตลอดทั้งวัน ร่างกายจะเผาผลาญไขมัน

* คุณหมอผู้เขียนเริ่มไดเอตเพราะน้ำหนักเกิน สุขภาพย่ำแย่ จึงเริ่มไดเอตด้วยซุปหนึ่งถ้วยและกับข้าวหนึ่งจาน เป็นวิธีควบคุมปริมาณแคลอรี่ด้วยการจำกัดจำนวนภาชนะใส่อาหาร

* เมื่อเริ่มได้ผลแล้ว คุณหมอก็ยกระดับการไดเอตของตนเองเป็นใช้จานชามที่มีขนาดเล็กลง นั่นคือ ใช้ภาชนะใส่อาหารสำหรับเด็ก ผลคือ สามารถลดน้ำหนักลงมาได้อย่างฮวบฮาบจากหนัก 80 กิโลกรัมเหลือ 60 กิโลกรัม

* คุณหมอเลือกงดอาหารเช้าและอาหารกลางวันมาทานมื้อเย็นมื้อเดียวเพราะไม่อยากทนทำงานในสภาพที่ง่วงและแน่นท้อง

* เวลาท้องร้องจ๊อก Growth Hormone หรือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวจะหลั่งออกมา แล้วช่วยเผาผลาญไขมันพร้อมทั้งฟื้นฟูเยื่อเมือกและผิวพรรณให้กลับเป็นหนุ่มสาว

* ตอนท้องร้องจ๊อกครั้งที่ 2 ยีนเซอร์ทูอินซึ่งเป็นยีนต่ออายุขัยจะปรากฏออกมา แล้วช่วยฟื้นฟูยีนทั้งหมดในร่างกายที่ได้รับความเสียหายหรือสึกหรอ

* ตอนท้องร้องจ๊อกครั้งที่ 3 ฮอร์โมนมหัศจรรย์หรืออะดิโพเนคทินจะถูกหลั่งออกมาจากเนื้อเยื่อไขมันและช่วยทำความสำอาดภายในเส้นเลือดให้กลับเป็นหนุ่มสาว

* ถ้าชีวิตในแต่ละวันของคุณไม่มีความสุข นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนพอ

* คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร หรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จะสนใจแต่ “การทำสิ่งที่สนุกสนาน” หรือ “การทำสิ่งที่พิเศษไปจากชีวิตประจำวัน”

* แต่สำหรับคนที่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเป้าหมายในชีวิตคือการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันให้ดีที่สุด เขาก็จะใช้ชีวิตในวันนี้อย่างมีประโยชน์ โดยตั้งใจทำงานและไม่ปล่อยปละละเลยครอบครัว เขาจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างคุ้มค่า

* สาเหตุที่คนเรากินมากไป

1) หลงระเริงอยู่กับเรื่องที่สนุกสนานตรงหน้า เนื่องจากไม่มีเป้าหมายระยะยาวในชีวิต
2) เป็น “โรคเสพติดน้ำตาล”
3) แยกไม่ออกระหว่าง “หิวจริง” กับ “รู้สึกหิว” ที่สมองสร้างขึ้นมา

* คนเราสามารถทานอาหารว่างได้ แต่มีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ คือ 1) ห้ามกินอาหารที่มีน้ำตาล 2) ห้ามกินอาหารที่มีผงชูรส

* อาหารว่างที่ควรติดไว้คือ ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์ และ วอลนัต) ปลาซาร์ดีนตากแห้ง (ปลาต้มตากแห้ง) และถั่วคั่ว

* หลังจากกินอาหาร ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำงานเพื่อให้ร่างกายย่อยอาหาร จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกง่วงนอน (ระบบประสาทนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผ่อนคลาย)

* ยิ่งถ้ากินอาหารที่มีน้ำตาลมากในมื้อกลางวัน ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะยิ่งถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้เราทำงานด้วยความเซื่องซึม

* คนที่ควรกินอาหารวันละมื้อได้แก่ 1) คนอ้วน 2) ผู้ชายอายุ 30 ปีขึ้นไปและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

* น้ำตาลอันตรายกว่าคอเลสเตอรอล

* คนชอบกินของหวานจะมีผิวหนังที่แก่ชราเร็วกว่าปกติ

* จงกินผักและผลไม้ทั้งเปลือก และกินเนื้อปลาติดหนัง

* การเผาผลาญไขมันมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 1) การออกกำลัง 2) การนอนหลับ 3) ความหิว 4) ความหนาว

* ในยามอดอยาก ความหิวจะไปเปิด “สวิทช์ที่ทำให้อายุยืน” ส่งผลให้มีสุขภาพดี และเมื่อร่างกายสัมผัสกับความเหน็บหนาว “ยีนที่ช่วยให้รอดชีวิต” ก็จะถูกปลุกให้ทำงาน

* การอาบน้ำเย็นช่วยลดน้ำหนักได้ หลังจากอาบน้ำเย็น ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิจะสั่งร่างกายให้เผาผลาญไขมันในช่องท้องเพื่อให้อุณหภูมิแกนสูงขึ้น

* การเดินแบบยืดอก แขม่วท้อง และก้าวเท้าให้ยาวที่สุดติดต่อกัน 15 นาที เป็นการออกกำลังกายที่ดี

* ในฤดูหนาวไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ เพราะเมื่ออุณหภูมิผิวลดลงจากการสัมผัสอากาศที่หนาวเย็น ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายก็จะเผาผลาญไขมัน

* ทั้งนี้ ควรระวังให้มือและเท้าอุ่นอยู่เสมอ แต่หัวปล่อยให้เย็นได้

* วิธีที่ดีที่สุดในการลบเรื่องที่ไม่ชอบออกจากหัวก็คือ การจดจ่ออยู่กับงานที่กำลังตรงหน้าอย่างเดียวโดยไม่ต้องคิดอะไร (คือสภาวะสมาธิ – ผู้รีวิว) ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่กังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง

การดำรงชีวิตอยู่ในรูปแบบนี้ คือการคลายเครียดอย่างหนึ่ง (เหมือนหลักการในพุทธศาสนาที่ว่าถ้าเรามีสติจดจ่ออยู่ในปัจจุบันขณะความทุกข์ก็จะเข้าแทรกไม่ได้)

* การ “รักความสะอาดมากเกินไป” ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้

* “ความหิว” ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ถ้าท้องเราอิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าอาหารมื้อนั้นจะอร่อยหรือเลิศหรูเพียงใด เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญ หรือมีคุณค่าอะไร

* ความหิว ทำให้เราสามารถกินอาหารเรียบง่ายแต่ละมื้อได้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดังนั้นความหิวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ และสอนให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต

==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==

* ถึงแม้วัตรปฏิบัติของพระป่าที่เคร่งครัดจะมีการ “ฉันมื้อเดียว” เช่นกันและหลวงปู่หลวงตาส่วนใหญ่ก็แข็งแรงและอายุยืนดี แต่ท่านเหล่านั้นจะฉันเฉพาะมื้อเช้าหรืออย่างน้อยก็ก่อนเพล ไม่ใช่การอดข้าวเช้าและกลางวันแล้วมาทานมื้อเดียวตอนเย็นอย่างคุณหมอ

แถมคุณหมอจะดื่มเบียร์ 1 แก้วรวดตอนท้องว่างก่อนอาหารเย็นอีกด้วย(!)

* หนังสือเรื่องนี้มีแนวคิดในการรักษาสุขภาพที่ค่อนข้างสุดโต่ง แถมยังไม่แนะนำให้ออกกำลังอย่างเต็มที่อย่างการวิ่งหรือไปฟิตเนส

ส่วนตัวแล้วครูพบว่าการได้วิ่งอย่างต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไปให้ความสดชื่นสมองโปร่งโล่งรู้สึกผ่อนคลายกว่าการเดินเฉย ๆ อย่างที่คุณหมอแนะนำค่ะ

ดังนั้นผู้ที่สนใจอยากลองทำตามเล่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน และใช้วิจารณญาณส่วนตัวกันนะคะ

หนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” โดย โยะชิโนะริ นะงุโมะ แปลโดย พิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 174 หน้า ราคา 165 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 481 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” ค่ะ

เราสามารถ “หลอกสมอง” ของเราให้พัฒนาตนเองและประสบความสำเร็จได้
แต่หลอกเฉย ๆ ยังไม่พอ ต้องลงมือทำด้วย


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกสมองของญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปี เขาจัดการอบรมพัฒนาศักยภาพให้ผู้บริหารและนักธุรกิจของญี่ปุ่นมาแล้วมากมาย
คุณนิชิดะ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เรียกทุก ๆ อย่างที่สมองรับรู้ว่าเป็น “ภาพลวง” ซึ่งมีทั้งภาพลวงเชิงบวกและภาพลวงเชิงลบ
เขาเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีสติ “รู้เท่าทัน” ภาพลวงในสมองเราหรือเปล่า
นอกจากรู้เท่าทันแล้ว เรายังต้อง “หลอกสมอง” ให้นำไปสู่พฤติกรรมที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จด้วย
เนื้อหาในเล่มมีทั้งแนวจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ทางสมอง การพัฒนาตนเองในฐานะปัจเจกบุคคลและในฐานะผู้บริหารองค์กร และผู้รีวิวเองรู้สึกว่ามีกลิ่นไอของ NLP อยู่ด้วยค่ะ
เนื้อหาช่วงกลาง ๆ เล่มค่อนข้างหนัก ไม่ใช่หนังสือแนวอ่านเพลินสบาย ๆ เสียทีเดียวนัก แต่ก็มีข้อคิดดี ๆ ที่ซาบซึ้งน่าประทับใจในการดำรงชีวิตด้วยในช่วงท้าย ๆ เล่มตามแบบฉบับหนังสือญี่ปุ่น
เหมาะสำหรับผู้สนใจพัฒนาศักยภาพของสมอง และพัฒนาตนเองโดยรวมค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ผู้ที่เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ และลงมือทำไปเรื่อย ๆ จะประสบผลสำเร็จในที่สุดทุกคน
* เราทุกคนเคยมีศักยภาพนั้นมาก่อนตอนเป็นเด็กที่หัดเดินครั้งแรก เราลุกแล้วล้มมาเป็น 100 ครั้งแต่ก็ยังลุกขึ้นยืนและพยายามเดินทุกครั้ง ในที่สุดเราก็บรรลุเป้าหมายและเดินได้ในที่สุด
คำถามคือ ความรู้สึกนั้นหายไปไหน? ทำไมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราจึงยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หลังจากพลาดไปเพียงไม่กี่ครั้ง?
* ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์สลับกันไป เมื่อรู้สึก “ทุกข์” สิ่งที่จะช่วยใช้สับสวิตช์สมองให้กลายเป็น “สุข” ได้ คือ คำพูด ภาพจินตนาการ และภาษากาย
* ตัวอย่างคำพูด คือ การกล่าวขอบคุณอุปสรรคที่ทำให้เราแกร่งขึ้น
ตัวอย่างภาพจินตนาการคือการฝึกนึกภาพความสำเร็จแบบนักกีฬา
ตัวอย่างภาษากายคือการสร้างภาษากายประจำตัวขึ้นมาอย่างหนึ่งเพื่อคอยเตือนตัวเองให้คิดบวก
* ภาพลวงตาที่ใช้ในการทดลองจิตวิทยา (ในเล่มมีให้ดูหลายภาพที่สามารถเห็นได้อย่างน้อย 2 อย่างที่ต่างกันไป) เป็นข้อพิสูจน์ว่า “สมองมักจะคิดผ่านมุมมองเดียว”
นั่นคือ ถ้าสมองตัดสินไปแล้วว่า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง สมองก็จะมีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็นมุมมองอื่น ๆ
ภาพลวงทางความคิดก็เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกับภาพลวงตานั่นเอง จึงมักทำให้เรามองไม่เห็นโอกาสดี ๆ มากมาย
* สมองจะรู้สึกสุขหรือทุกข์เพราะการทำงานของอะมิกดาลาในสมอง เมื่อสมองได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอกจะหลั่งสารสื่อประสาท “โดพามีน” ที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนออกมา ทำให้ตื่นตัวและกระฉับกระเฉง
และเมื่อสมองอยู่ในสภาวะสุขก็จะเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง
* จงหมั่นชมคนในครอบครัวให้สมองของเขาหรือเธอหลั่งสารโดพามีนออกมา จะได้ทำให้พวกเขามีความสุข คนที่จะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการทำให้คนในครอบครัวมีความสุขได้ก่อน
* สมองมนุษย์จะตอบสนองต่อทุก ๆ คำถามที่รับเข้ามาด้วยการส่งข้อมูลออกไปจนเกิดเป็นวงจรขึ้น และวงจรการรับเข้าและส่งออกนี้จะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการทำซ้ำ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามตัวเองหรือได้รับการถามจากคนอื่นว่า “ทำไมถึงทำไม่ได้นะ?” สมองก็จะส่งแค่ข้อมูลที่เป็นเหตุผลของ “การทำไม่ได้ออกมา และรับเอาข้อมูล “ทำไม่ได้” ซ้ำเข้าไปอีก
ในทางตรงกันข้าม หากถามตัวเองหรือได้รับการถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะทำได้นะ?” สมองก็จะสร้างข้อมูล “วิธีทำให้ได้” ส่งออกมาและรับข้อมูลซ้ำกลับเข้าไปว่า “ทำได้”
* การเป็นผู้บริหารที่ดีต้องใช้สมองทั้งสามส่วน ส่วน “ความรู้” คือสมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ เอาไว้สร้างโมเดลธุรกิจ ”คุณธรรม” เป็นเรื่องของสมองอารมณ์ที่ให้คุณค่าต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
และ “ความกล้าหาญและพลังใจ” มาจากฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมาจากก้านสมอง และก้านสมองยังมีการคาดการณ์หรือรับรู้อนาคตได้ด้วย
* ถ้าอยากจะ “เสริมโชค” จงอย่าสร้างศัตรูขึ้นในสมองเด็ดขาด เป็นภาพลวงที่ไม่ดี ถ้ามีเจ้านายที่เข้มงวดมาก คนที่เชื่อว่าตนเองเป็นคนโชคดีจะมองว่า “อ๋อ เราทำงานเก่งขึ้นได้ก็เพราะคน ๆ นี้ ขอบคุณนะครับ/คะ”
คำว่า “มุเทคิ” (ไร้ศัตรู) มักถูกแปลอย่างผิด ๆ ว่าหมายถึง แข็งแกร่งที่สุด” แต่ความจริงแล้วหมายถึงสภาวะของการ “ไม่มีศัตรู” ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับใจของคุณ คุณจะกลายคนไร้ศัตรูตอนนี้เลยก็ย่อมได้
(เรื่องนี้ มุเทคิ คือความเมตตาปรารถนาดีตรงกับแนวคิดวิชาดาบซามูไรโบราณที่ครูไปเรียนมาจากญี่ปุ่นค่ะ)
* คนที่เชื่อว่าตัวเองโชคดีหรือดวงดี มักจะคิดอะไรเป็นแง่บวก แล้วถ้าเราไม่รู้สึกอย่างนั้นจะเพิ่มพลังเชื่อโชคของเราได้อย่างไร?
คำตอบคือ ต้องตั้งใจเป็นคนประเภท “ลงมือทำทันที ไม่ย่อท้อ” และใหม่หมั่นนึกทันทีทุกครั้งที่ตื่นว่า “วันนี้เรายังมีชีวิต แถมได้ตื่นขึ้นมาในสภาพที่แข็งแรงอยู่ ช่างโชคดีจริง ๆ”
นอกจากนี้ ก่อนเข้านอนก็ให้คิดว่า “ผ่านมาได้อีกวันหนึ่ง โชคดีจริง ๆ”
ต่อให้เจอเรื่องแย่ ๆ ก็ให้เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่ดีก่อน เช่น ถึงจะมีปัญหาที่บริษัทเยอะ แต่ก็ผ่านมาได้ ถึงจะทะเลาะกับคู่ชีวิตบ้าง แต่สุขภาพก็ยังดีทั้งคู่
* สมองที่ไม่ยอมแพ้ คือสิ่งที่แบ่งระหว่างผู้ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา
* คนที่ทำฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ จะไม่ตั้งเป้าหมายขึ้นมาลอย ๆ แล้วลงมือทำไปทั้งอย่างนั้น แต่จะตั้งเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม วิเคราะห์เงื่อนไขพื้นฐานและจัดการกับสิ่งที่จัดการได้ไปก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติ
* หากมีความเชื่อมั่นในตนเองได้แล้ว สมองจะเข้าสู่สภาวะ “สุข” จึงรู้สึกสนุกไปกับความยากลำบากได้ ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นอีกด้วย
* จงรับผิดชอบตนเองให้ดี และสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่ ความคิดเช่นนี้จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ
* วิธีที่จะมีสมองที่คิดเชิงบวกอยู่เสมอ ๆ ได้แม้กระทั่งเวลาเผชิญความทุกข์คือการ “สร้างภาพลวงที่ดีขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ” วิ
ธีหนึ่งคือสร้างคำพูดเป็นคีย์เวิร์ดขึ้นมาปรับสมองอารมณ์ เช่น คำว่า “ขอบคุณ” เช่น “ขอบคุณนะที่สร้างอุปสรรคให้เราฟันฝ่า”
* ในทางตรงกันข้าม เวลามีเรื่องลำบากหรือทุกข์ใจ ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นทั้งร่างกายและจิตใจก็จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ
* ความรู้สึกด้อยกว่าทั้งหมดล้วนเป็นผลผลิตที่คนอื่นสร้างขึ้นที่กลายมาเป็นภาพลวงแย่ ๆ ในคัวคุณเอง วิธีแก้คือให้เขียนข้อดีของตนเองออกมา 5 ข้อ โดยต้องรู้สึกเชื่อมั่นอย่างนั้นจริง ๆ
จากนั้นเมื่อใครชมคุณเกี่ยวกับข้อดีทั้งห้าข้อ ก็ให้รู้สึกยินดีมีความสุข และตั้งใจพัฒนาข้อดีเหล่านั้นต่อไป
* สิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นและสังคมคือ ความรักและความรู้สึกขอบคุณ เมื่อผู้บริหารรู้สึกขอบคุณต่อสังคมโดยรวมทั้งหมดจริง ๆ ต่อให้ไม่คิดหากำไร ก็ยังทำกำไรได้เอง
* คนเรามักอยากหลีกเลี่ยงอันตราย จึงไม่ค่อยกล้าออกจากความรู้สึกปลอดภัยของการทำอะไรเดิม ๆ อยู่อย่างเดิม ๆ และในที่สุดก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย
เหมือนดังเช็คสเปียร์ได้กล่าวไว้ว่า “ความรู้สึกปลอดภัย นั่นคือศัตรูที่ใกล้ตัวที่สุดของมนุษย์”
* ราคาที่แท้จริงของธนบัตร 10,000 เยน คือ 22.2 เยนเท่านั้น (จากราคาที่โรงพิมพ์ธนบัตรขายให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นในปีค.ศ. 2000) ดังนั้น ที่เราคิดว่ามันมีค่า 10,000 เยนจึงเป็นเพียงภาพลวงที่เราไปให้ค่ามันเท่านั้น
ถ้าสามารถมองเห็นว่า “จริง ๆ แล้วเงินก็เป็นเพียงภาพลวง” มุมมองในชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้ว
* ทันทีที่สมองของมนุษย์คิดว่าถูกต้องแล้ว สมองก็จะหยุดความคิดลง ที่น่าสนใจก็คือ คำว่า “ถูกต้อง” ภาษาญี่ปุ่นเขียนว่า 正 ซึ่งถ้าขาดขีดด้านบนไปหนึ่งขีดจะกลายเป็น 止 ที่แปลว่า “หยุด”
* มนุษย์ไม่ได้แข็งแรงกว่าช้างหรือสิงโต จึงต้องตั้งคำถามกับสมองตนเองว่า “เรามีอะไรที่เขาไม่มี” จึงทำให้มนุษยชาติพัฒนามาได้จนถึงทุกวันนี้
* จงถ่อมตน คนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจำนวนมากตกม้าตายเพราะเป็นคนโอ้อวดไม่เห็นหัวคน เมื่อเราถ่อมตัว เราก็จะได้ยินเสียงของคนอื่น ๆ มากมาย
เพราะฉะนั้น จึงควรทิ้งความคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอไปเสีย แล้วลองฟังความเห็นของลูกน้อง สามี ภรรยา หรือแม้แต่หลานของคุณพูดดูบ้าง
* มนุษย์จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยพลังสามอย่าง คือ ๑) พลังเชื่อว่าตนเองโชคดี ๒) พลังรู้สุข คนที่มีพลังนี้จะมี “พลังสร้างสุข” ให้คนอื่นได้ด้วย และ ๓) พลังรู้คุณ หากมีข้อนี้ ก็จะรู้สึกขอบคุณออกมาจากใจจริง
คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น ร้อยทั้งร้อยจะมีพลังรู้คุณกันทุกคน
* มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณซาคิจิ โทโยตะ ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทโตโยต้า ได้จัดงานเลี้ยงขอบคะณขึ้น พิธีการสุดท้ายคือ คุณซาคิจิจะขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวที แต่เขากลับเอาแต่ก้มหน้าและไม่พูดอะไร
คนในงานต่างสงสัย แต่เมื่อมองไปที่เวทีก็พบว่า คุณซาคิจิกำลังร้องไห้อยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมพูด แต่เขาพูดไม่ออก
ซาคิจิยืนเงียบถึง 5 นาที จนพนักงานต้องพากลับไปนั่งที่เก้าอี้
แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่คนในงานต่างก็คิดเหมือนกันว่า “โชคดีที่ได้ทำงานกับซาคิจิ” นี่คือพลังรู้คุณของผู้ก่อตั้งโตโยต้า ที่สื่อไปถึงทุกคนได้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
* จงไปหาและตอบแทนคน 10 คนที่เคยช่วยเหลือคุณ
* จงใส่ใจในบรรพบุรุษของตน ลองไปค้นคว้าประวัติของตระกูลตนเองดู น่าจะมีบรรพบุรุษสักคนที่เราภาคภูมิใจ
และการได้รู้ว่า “ในตัวเราก็มีเลือดของบรรพบุรุษคนนั้นไหลเวียนอยู่” ก็จะนำไปสู่พลังบวก ที่สามารถเปลี่ยนความเป็นไปไม่ได้ให้เป็นความเป็นไปได้เลยทีเดียว
* ผู้เขียน คือ คุณนิชิดะ เคยเกิดอาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง ซึ่งผู้อื่นที่เป็นอาการเดียวกันนั้นเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว
แต่ด้วยการที่ผู้เขียนหมั่นบอกตนเองว่า “โชคยังดี” และตั้งใจทำกายภาพอย่างขยันขันแข็ง ในที่สุดก็กลับมาเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าอีกต่อไป
ผู้เขียนกล่าวว่า การสร้างภาพลวงที่ดีที่ทรงพลังสามารถสร้างให้เกิดปาฏิหาริย์ได้เช่นนี้
และหลังจากฟื้นตัวจากอาการนั้น ผู้เขียนก็รู้สึกว่า “สรรพสิ่งกำลังสนับสนุนให้ผมมีชีวิตอยู่” และรู้สึกจริง ๆ ว่าโชคดีที่ได้ประสบกับโรคร้ายวันนั้น
และยังรู้สึกว่า ภาระหน้าที่ที่ต้องทำ(จากการรอดชีวิตมาได้)นั้นก็คือ “ทำให้คนตื่นจากภาพลวงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)
* ชีวิตจะมีความสุขกว่ามาก ถ้าเราสร้างภาพลวงว่า “เราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดังนั้นก็ใช้ชีวิตในทุก ๆ ขณะให้เต็มที่ มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขดีกว่า”
* ความสำเร็จที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร? คำตอบคือ “มีชีวิตอยู่ให้คนอื่นมีความสุข ตายไปให้คนคิดถึง”
ตอนมีชีวิตอยู่สำคัญก็จริง แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เราเหลืออะไรไว้เบื้องหลังบ้างในยามที่สิ้นชีวิตลง
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า “ความสำเร็จจะมาสู่ผู้ที่สามารถหลอกสมองของตน ความล้มเหลวจะมาเยือนผู้ที่ถูกสมองของตนหลอก”
* เมื่อได้อ่านจบทั้งเล่มแล้ว ครูรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อแท้ที่จริงก็คือ “ความสำเร็จจะมาสู่ผู้ที่สามารถมองโลกในแง่บวก ความล้มเหลวจะมาเยือนผู้ที่ไม่มีสติรู้เท่าทันภาพลวงต่าง ๆ ของชีวิต” ค่ะ
หนังสือชื่อ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” โดย ฟุมิโอะ นิชิดะ แปลโดย สกล โสภิตอาชาศักดิ์ Move Publishing 274 หน้า ราคา 325 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 480 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ตั้งคำถามเพียง 1 ข้อ ก็พลิกจากตามขึ้นมานำ” ค่ะ

ถ้ามีคนบอกว่า ชีวิตคุณเปลี่ยนได้ ด้วยคำถามเพียงข้อเดียว
คุณจะเชื่อไหม
และถ้าเขาบอกต่อว่า เพียงคำถามข้อเดียวกันนั้น คุณเองก็จะเปลี่ยนโลกได้ด้วยซ้ำล่ะ?


=ภาพรวม=
หนังสือแนวพัฒนาตนเอง/พัฒนาธุรกิจเล่มนี้เป็นเบสต์เซลเลอร์ในอเมริกาที่ทำให้ผู้เขียนได้รับเชิญไปพูด TED Talk ในหัวข้อเดียวกับชื่อหนังสือนี้มาแล้วคือ “Start with Why”
ในเล่มจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างผู้นำหรือองค์กรชั้นยอดกับคนทั่วไปหรือองค์กรทั่วไปคือ ฝ่ายแรกจะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าพวกเขาทำสิ่งนั้น ๆ ไปทำไม
และเพราะพวกเขาใช้คำถามว่า “ทำไม” เป็นเหมือนเข็มทิศบอกทางนั่นเอง ทุกสิ่งที่เขาทำ พูด จึงสอดคล้อง และสามารถสร้างแรงบันดาลใจ จนผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเหนือชั้นได้
ถึงแม้ในเล่มจะกล่าวย้ำถึงแนวคิดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ แต่ก็มีตัวอย่างกรณีศึกษาประกอบที่น่าสนใจหลายเรื่อง ถ้าคุณลองอ่านและลองตั้งคำถามนี้กับตัวคุณเองอย่างจริงจัง คุณก็น่าจะได้คำตอบที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้นะคะ
ก่อนอ่านบทสรุปหนังสือ ครูขอให้การบ้านนะคะว่า คุณผู้อ่านอ่านคุณลักษณะผู้นำเหล่านี้แล้วนึกถึงใคร ดูซิว่าจะตรงกับครูไหม ครูเฉลยไว้ท้ายรีวิวค่ะ ^___^
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ในอเมริกา ขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบประตูรถยนต์คือการที่ช่างใช้ค้อนยางเคาะที่ขอบประตูเพื่อให้แน่ใจว่ามันเข้าที่ แต่ในญี่ปุ่นไม่มีขั้นตอนดังกล่าว เพราะพวกเขา “ดูให้แน่ใจแล้วตั้งแต่ตอนออกแบบ”
การใช้ค้อนยางของผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันสะท้อนแนวคิดที่คนส่วนใหญ่มักใช้รับมือในการแก้ปัญหา คือจะหาทางแก้ไขเฉพาะหน้า
แต่วิธีที่จะรับประกันความสำเร็จระยะยาวต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจที่ว่า “ทำไม” ประตูถึงต้องเข้าที่พอดีตั้งแต่ตอนออกแบบ
คำตอบคือ ประตูที่แนบสนิทพอดีแบบไม่ต้องคอยเคาะให้เข้าที่จะเป็นประตูที่ทนทานและสามารถรับแรงกระแทกเวลาเกิดอุบัติเหตุได้ดีกว่า
ญี่ปุ่นตั้งคำถามว่า “ทำไม” และได้ความเข้าใจนี้มา จึงออกแบบ “ผลลัพธ์” ที่ต้องการได้สำเร็จตั้งแต่แรกนั่นเอง
* วงแหวนทองคำ (The Golden Circle) เป็นแนวคิดทางคณิตศาสตร์ที่ถูกนำไปใช้ในหลายสาขา ในที่นี้ มันช่วยให้เราค้นพบระเบียบแบบแผนและคาดเดาพฤติกรรมของมนุษย์ได้
* วงแหวนดังกล่าวเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 ชั้น คนส่วนใหญ่มักจะคิดได้แค่ 2 วงนอก แต่ความเป็นจริงแล้วการจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิต ต้องเริ่มจากวงในสุด
* วงนอกสุดคือ “อะไร” หรือ สินค้าหรือบริการของตัวเองคืออะไร หรือพวกเขามีหน้าที่อะไรในองค์กรนั้น ๆ
* วงกลางคือ “อย่างไร” หรือ ตัวเราหรือองค์กรเราแตกต่างหรือดีกว่าคนอื่นตรงไหน
* วงในสุดคือ “ทำไม” หรือ ทำไมเราถึงทำสิ่งที่เราทำอยู่
* ตัวอย่างที่ผู้เขียนกล่าวว่าเห็นได้ชัดที่สุดว่านำวงแหวนนี้ไปใช้อย่างได้ผล คือ บริษัทแอปเปิล ที่นำไปใช้ในการสื่อสารทางการตลาด
* ถ้าเป็นเหมือนบริษัททั่วไป แอปเปิลคงจะบอกเพียงว่า “เราผลิตคอมพิวเตอร์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งถูกออกแบบมาให้งดงามและใช้งานง่าย คุณอยากซื้อสักเครื่องไหม”
* การนำเสนอเช่นนี้ บอกเพียงแค่ “อะไร” และ “อย่างไร” ดังนั้นจึงไม่น่าจะโดนใจผู้บริโภคเท่าใดนัก
* แต่แอปเปิลพูดว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร เราก็มุ่งมั่นที่จะท้าทายสิ่งเดิม ๆ เราเชื่อในการคิดต่าง และเราก็ทำเช่นนั้นด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ให้สวยงามและใช้งานง่าย
ดังนั้น เราจึงได้ให้กำเนิดคอมพิวเตอร์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมา คุณอยากซื้อสักเครื่องไหมล่ะ”
* จะเห็นได้ชัดว่าอย่างที่สองให้ “ความรู้สึก” ที่แตกต่างกัน มนุษย์เราจะรู้สึกอยากซื้อคอมพิวเตอร์จากข้อความที่สองมากกว่า เพราะตรงกับวิธีการตัดสินใจของสมองซึ่งใช้สมองส่วนลิมบิก คือการตัดสินตามความรู้สึก
* และนี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แอปเปิลประสบความสำเร็จมากกว่าผู้อื่น เพราะไม่เพียงบอกแค่ว่า “ทำไม” เขาถึงทำสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เขาก็ยังผลิตสินค้าออกมาสะท้อนความเชื่อของพวกเขาอย่างต่อเนื่องด้วย
(วงแหวนทองคำจะไม่ได้ผล ถ้า “อย่างไร” และ “อะไร” ไม่สอดคล้องกับ “ทำไม”)
* เนื่องจากแอปเปิลมีจุดมุ่งหมาย (คำตอบของคำว่า ทำไม) ที่ชัดเจน มันจึงดึงดูดคนที่มีความเชื่อแบบเดียวกันเข้ามา ส่วนผู้คนก็จะเลือกใช้ของบางอย่างเพื่อสะท้อนถึงความเชื่อของตนเองเช่นกัน
* ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือปัจเจกบุคคล ในยามที่ประสบอุปสรรคหรือติดขัดในสิ่งที่ตนทำ แทนที่จะถามตนเองว่า “เราควรทำ “อะไร” เพื่อให้ได้ชัยชนะ” ควรถามว่า “ “ทำไม” เราถึงทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และมี “อะไร” บ้างที่เราทำได้เพื่อให้จุดมุ่งหมายเราเป็นจริงขึ้นมา”
* ในช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังยากลำบากและพบเจอแต่อุปสรรค น้อยคนนักที่จะถามตัวเองว่า สามารถทำอะไรให้กับประเทศได้บ้าง
แต่นั่นคือเจตนารมณ์ของจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เขาประกาศไว้ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
ประโยคนั้นสื่อว่า "ทำไมเขาถึงตัดสินใจลงสมัครเป็นประธานาธิบดี" นั่นเอง
* ผู้นำที่ดีคือคนที่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง พวกเขาล้วนเริ่มต้นที่คำว่า “ทำไม”
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ตอนที่ครูอ่านว่าผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่จะเริ่มต้นด้วยคำว่า “ทำไม” นั้น ครูนึกถึงพระพุทธเจ้ากับในหลวงร.๙ ค่ะ
* เจ้าชายสิทธัตถะก็เริ่มต้นด้วยการถามว่า “ทำไมคนเราต้อง แก่ เจ็บ และตาย” จนกระทั่งทรงได้คำตอบว่า “ก็เพราะว่าคนเราเกิดมาน่ะสิ” นั่นเอง
จากนั้นจึงนำไปสู่คำถามของพระองค์ว่า “แล้วต้องทำ “อย่างไร” คนเราจะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก”
* สองคำถามนั้นนำไปสู่ “อะไร” ของพระองค์ คือ”การออกผนวชเพื่อหาวิธีที่จะไม่ต้องมาเกิดอีก”
* ส่วนในหลวงร.๙ นั้น เมื่อทรงตั้งพระราชปณิธานจะขึ้นครองราชย์ก็คงจะทรงเริ่มต้นด้วยการถามพระองค์เองเช่นกันว่า “จะทรงครองราชย์ไปทำไม” และคำตอบที่พระองค์ได้ก็คือ “เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”
* จากนั้นจึงนำไปสู่คำถาม “อย่างไร” ของพระองค์ ว่าต้องทรงครองราชย์ “อย่างไร” มหาชนชาวสยามจึงจะได้ประโยชน์สุข และทรงได้คำตอบว่า ก็ต้องครองราชย์ “โดยธรรม”
* และด้วยพระราชปณิธาน “ทำไม” และ “อย่างไร” ที่ชัดเจนเช่นนี้เอง จึงทำให้ “อะไร” ของพระองค์ชัดเจนและมีความสม่ำเสมอ คงเส้นคงวา สอดคล้องไปด้วย
ซึ่งได้แก่ พระราชกรณียกิจที่ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขพวกเราพสกนิกรด้วยพระเมตตาตลอดรัชสมัยนั่นเอง
* จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งพระพุทธองค์และในหลวงร.๙ จึงทรงเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่
* แม้แต่คนธรรมดา ๆ อย่างเราทุกคนก็ควรหาเวลาหยุดคิดเงียบ ๆ เพื่อถามตนเองว่า “เราเกิดมาทำไม” ด้วย
คำตอบที่ได้ก็จะเป็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวท่านเองไปตลอดชีวิต
หนังสือชื่อ “ตั้งคำถามเพียง 1 ข้อ ก็พลิกจากตามขึ้นมานำ” โดย Simon Sinek แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา สำนักพิมพ์วีเลิร์น 264 หน้า ราคา 250 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 479 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ทำไมคุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง” ค่ะ

คุณคิดว่าคุณพูดเก่งหรือไม่
คนญี่ปุ่นมากกว่า 93% ที่ตอบแบบสอบถามของรายการวิทยุแห่งหนึ่งตอบว่าพวกเขา “พูดไม่เก่ง”
แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้จะพูดไม่เก่ง คุณก็สามารถทำให้การสนทนาราบรื่น และคู่สนทนารู้สึกดีได้


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มย่อมอ่านวันเดียวจบนี้เขียนขึ้นโดยนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น ซึ่งเดิมเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ก็หมั่นเพียรศึกษา สังเกต กล้าคิดกล้าทดลอง จนกลายมาเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดังจนได้รับรางวัลได้
เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพราะเห็นว่า คนญี่ปุ่นจำนวนมากรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเพราะคิดว่าตนเอง “พูดไม่เก่ง”
แต่ในขณะเดียวกันหนังสือแนะนำเทคนิคการพูดในร้านหนังสือส่วนใหญ่ที่เขาเห็นยังไม่ตอบโจทย์นัก เพราะจะเน้นไปเรื่องการพูดเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ความก้าวหน้าทางการงาน ฯลฯ
ซึ่งผู้เขียนคิดว่า ส่วนใหญ่แล้วชีวิตคนเราต้องใช้ทักษะการคุยเล่นธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ต่างหาก และจุดประสงค์ที่แท้จริงของการคุยคือความรู้สึกสบายใจร่วมกัน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ เขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
เหมาะกับผู้สนใจการพัฒนาตนเองทุกคนก็จริง แต่ครูว่าน่าจะเป็นประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับคุณผู้ชาย เพราะมีหมวดหนึ่งบอกว่า ให้ศึกษาและเอาอย่างการคุยเล่นแบบผู้หญิง และให้มองการคุยเล่นเหมือนเป็นเกม
หรือจะมองเหมือนเป็นการเล่นฟุตบอลก็ได้ นั่นคือมีการ “เลี้ยงลูก” “ส่งลูก” และ “รับลูก” ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* เราอาจคิดว่าอยากคุยเก่งเพราะต้องการเงิน ความก้าวหน้า หรือความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องการและสำคัญจริง ๆ คือความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
* เรามักเชื่อกันว่าการพูดที่จริงจัง เช่น การรายงาน การนำเสนองาน การสอนหนังสือ เป็นการสื่อสารที่สำคัญ
แต่ถ้าลองคิดดูดี ๆ จะพบว่าแต่ละวันคนเราต้องใช้การคุยเล่นทั่วไปมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด แม้แต่ในการประชุมจริงจัง ก็ยังมีการคุยเล่นแฝงเป็นระยะ
* “ความบกพร่องด้านการสื่อสาร” เป็นโรคที่คนญี่ปุ่นเป็นกันมาก หมายถึงคนที่ไม่ถนัดหรือทรมานกับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่น เข้ากับคนแปลกหน้าได้ยาก พูดจาตะกุกตะกัก และรู้สึกเป็นปมด้อยเรื่องการพูดทำให้ไม่ค่อยพูด
* คนที่รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่เก่งอย่าเพิ่งท้อแท้ เพราะการสื่อสารเป็นทักษะที่ฝึกฝนกันได้ตราบใดที่มีความพยายาม
* ทัศนคติหนึ่งที่จะทำให้เครียดน้อยลงได้คือต้องรู้จัก “ปล่อยวาง”
นั่นคือ ให้คิดว่า การที่เราไปทักคนแล้วเขาไม่ทักตอบก็เป็นเรื่องธรรมดา ถามเขาแล้วไม่ตอบก็ธรรมดา เขาไม่ใส่ใจเราก็ธรรมดา พอปล่อยวางได้แล้วก็จะผ่อนคลายมากขึ้น ไม่เครียด
* ถ้ามองการพูดคุยเป็นเกม คุณอาจจะสนุกไปกับมันก็ได้ เกมการพูดคุยนี้เป็นเกมที่ “ไม่มีคู่ต่อสู้” แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนในเกม โดยสิ่งที่ต้องเอาชนะในเกมก็คือ “ความอึดอัด”
* หลักการพื้นฐานที่ช่วยให้เล่นเกมได้ง่ายขึ้น คือ ต้องพยายามทำให้คู่สนทนาเป็นฝ่ายพูด
* วิธีจูงใจให้เขาพูดมีหลายวิธี แต่หลักสำคัญคือต้องสร้างบรรยากาศให้เขาได้ “พูดในสิ่งที่คิดและรู้สึกจริง ๆ ออกมา” ไม่ใช่บังคับให้เขาพูดในสิ่งที่คุณต้องการ
* เราจะทำให้คู่สนทนาได้พูดในสิ่งที่คิดและรู้สึกจริง ๆ ออกมาได้อย่างลื่นไหล คือต้องตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด
เช่น เมื่อเริ่มต้นการสนทนาเรื่องทั่วไปให้สังเกตว่าอีกฝ่ายดูมีท่าทีกระตือรือร้นกับประเด็นใดเป็นพิเศษ จากนั้นก็ถามเขาเรื่องนั้น
* โดยธรรมชาติแล้วคนเราจะชอบพูดเรื่องที่ตนเองสนใจ
ดังนั้น ถ้าสามารถชักนำคู่สนทนาให้พูดเรื่องที่อยากพูดได้ เราก็ไม่แทบต้องทำอะไรเลยนอกจากพยักหน้าเออออและตั้งคำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ
ซึ่งนับเป็นวิธีที่สบายมากสำหรับคนพูดไม่เก่ง
* จำไว้ว่าเป้าหมายของการคุยคือการรู้สึกดี ๆ ร่วมกัน ไม่ใช่การแสดงความโดดเด่นของตนเอง
* ในการสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงานเช่นกัน บริษัทชั้นนำจะไม่ตัดสินคนโดยดูว่าตอบคำถามเรื่องการงานได้ดีแค่ไหนเพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนเตรียมตัวมาล่วงหน้าได้
เรื่องที่เขาสนใจคือ “ความรู้สึกที่ได้ระหว่างสัมภาษณ์” ต่างหาก
ดังนั้น ถ้าผู้สัมภาษณ์รู้สึกดี ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะเลือกคุณแทนที่จะเลือกคนที่ตอบคำถามเก่งแต่คุยด้วยแล้วรู้สึกแย่
* มนุษย์มักมีสัญชาตญาณชอบเอาชนะมาตั้งแต่ยุคโบราณ วิธีการเอาชนะสัญชาตญาณนี้ได้แก่ 1) ชื่นชมคู่สนทนา 2) แสดงความรู้สึกทึ่งบ่อย ๆ 3) รู้สึกสนุกเข้าไว้
* การชื่นชมเป็นการ “ตระหนักถึงข้อดีของคนอื่น” และยังบังคับให้เราต้องตั้งสติสนใจสังเกตอีกฝ่าย ส่งผลให้เรายึดติดกับตนเองน้อยลง
* ช่วงนี้คุณได้ชมคนอื่นบ้างหรือเปล่า?
* การแสดงความรู้สึกทึ่งนั้น จะแฝงความรู้สึก “นับถือ” อีกฝ่ายลงไปด้วย ระหว่างคนที่ชมคุณด้วยหน้านิ่ง ๆ กับคนที่ชมคุณด้วยความทึ่งออกมาอย่างไม่กั๊ก คุณจะรู้สึกดีและอยากคุยกับใครมากกว่ากัน?
* ระลึกเสมอว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใจร้าย เขาไม่ได้เกลียดคุณเพียงเพราะคุณพูดไม่เก่ง
* แม้จะพูดพลาดไปบ้าง ก็ต้องรู้จักให้อภัยตนเอง
คนที่พูดเก่งนั้นก็ย่อมมีพลาดเหมือนกันแต่เขาจะไม่เก็บมาเสียใจหรือหดหู่ไม่เลิก แต่เขาจะมีทัศนคติที่ดีและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียนรู้ได้และแก้ไขปรับปรุงได้
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของทักษะการพูดคุย ตามมาด้วยความกระตือรือร้นสนใจฟังและหมั่นตั้งคำถามอีกฝ่าย
ซึ่งการที่จะรู้ว่าจะถามอะไรดีนั้นทำได้ด้วยการตั้งสติหมั่นสังเกตสิ่งที่อีกฝ่ายให้ความสนใจ บางครั้งอาจเป็นในรูปแบบของสีหน้าท่าทาง น้ำเสียง ฯลฯ
* เช่นเดียวกับทักษะทุกประเภท แม้ตอนนี้เราจะพูดคุยไม่เก่งแต่ถ้าหมั่นพยายามฝึกฝนก็สามารถพัฒนาขึ้นมาได้
* ทุกคนย่อมมีพลาดได้เป็นธรรมดา คนที่รู้จักให้อภัยตนเองและหมั่นเรียนรู้แก้ไขไปเรื่อย ๆ จะเป็นผู้ที่คนคุยด้วยแล้วรู้สึกดีแน่นอน
หนังสือชื่อ “ทำไมคุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง” โดย โยชิดะ ฮิซะโนะริ แปลโดย โยซุเกะ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 178 หน้า ราคา 170 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 478 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ผู้หญิงไม่อธิบาย ผู้ชายเดาใจไม่เป็น” ค่ะ

คุณเป็นคนที่สื่อสาร “แบบผู้ชาย” หรือว่า “แบบผู้หญิง”?
ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือบางคนคิดแบบผู้ชายในเรื่องการงาน แต่คิดแบบผู้หญิงในเรื่องความรัก
ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นมีบททดสอบในเล่มให้คุณลองทำ
วิธีการสื่อสารของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง และการรู้วิธีการสื่อสาร “อีกแบบ” ก็จะช่วยเราได้มาก
เราจะสามารถคุยกับทุกคนได้อย่าง “รู้เรื่อง” และชีวิตเราก็จะราบรื่น
จากที่ครูเคยสังเกต ปัญหาส่วนใหญ่ทั้งในครอบครัวและที่ทำงาน แก้ได้ด้วย “การสื่อสาร” ค่ะ
ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้นะคะ ลองอ่านรีวิวดูก่อน แล้วแอบเช็คในใจว่าคุณเคยเจออย่างนี้บ้างหรือเปล่า และจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรดี


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสื่อสาร การวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งชัดเจนน่าสนใจและบางทีก็ชวนหัวเราะของเขาทำให้เขาได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์อยู่บ่อย ๆ
หนังสือเล่มนี้ขายดีกว่า 500,000 เล่มในญี่ปุ่น
ในเล่มแบ่งวิธีคิดและการสื่อสารออกเป็น 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ ด้านพื้นฐานทั่วไป ด้านความรัก ด้านครอบครัว และด้านการทำงาน
ผู้เขียนบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจวิธีคิดของคนที่มีรูปแบบการสื่อสารต่างจากคุณร้อยเปอร์เซ็นต์
ขอเพียงคุณเข้าใจว่าเขาคิดอีกแบบแล้วรู้จักเลือกภาษาที่เหมาะสมกับวิธีคิดและความเข้าใจของเขาก็ช่วยให้การสื่อสารราบรื่นขึ้นมากแล้ว
เหมาะกับผู้สนใจการพัฒนาตนเองทุกคน
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ผู้หญิงเชี่ยวชาญการคาดเดาอารมณ์และความคิดของคนอื่นมากกว่าผู้ชายมาก จึงสามารถสื่อสารกันรู้เรื่องโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างชัดเจน เช่น “อันโน้นน่ารักเนอะ” หรือ “ฉันว่าอันนั้นดีกว่าอันโน้น” และจะเข้าใจกันเองทันทีว่าหมายถึงของชิ้นไหน
แต่ในสายตาผู้ชายแล้ว พวกเธอเหมือนส่งกระแสจิตคุยกันเลยทีเดียว (ครูอ่านตรงนี้แล้วหัวเราะออกมาคนเดียวค่ะ 55555)
* วิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้ก็คือ เวลาผู้หญิงต้องการอธิบายอะไรให้ผู้ชายฟัง ควรพูดให้ละเอียดชัดเจน ถ้าเขาถามกลับมาเป็นคนละเรื่อง ก็ขอให้ใจเย็นไว้ก่อน แล้วค่อย ๆ อธิบายด้วยเหตุผล
* ผู้ชายอธิบายความรู้สึกของตัวเองเป็นคำพูดไม่เก่งนัก เพราะสมองซีกขวาซึ่งเป็นส่วนรับรู้อารมณ์ความรู้สึกกับสมองซีกซ้ายซึ่งควบคุมการใช้คำพูดประสานงานกันได้ไม่ค่อยราบรื่น
(เพราะคอร์ปัส แคลโลซัม ซึ่งเป็นกลุ่มใยประสาทที่เชื่อมโยงสมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกันของผู้ชายบางกว่าของผู้หญิง--ผู้วิจารณ์)
ดังนั้นเมื่อผู้หญิงถามว่า “คุณคิดยังไงกับฉัน” ผู้ชายจึงมักรู้สึกอึกอัก และผู้หญิงก็จะงอนว่า “ทำไมแค่นี้ก็ตอบไม่ได้”
* ตัวอย่างการแก้ปัญหาคือ ถ้าผู้ชายเงียบไปในการสนทนาที่ขัดแย้งกัน ให้คุณผู้หญิงให้เวลาผู้ชายประมวลผลข้อมูลในสมองนานหน่อย เพราะเขาทำได้ช้ากว่าผู้หญิง
หรือถ้าคุณเป็นฝ่ายชาย ให้สงบสติอารมณ์แล้วบอกฝ่ายหญิงไปว่า “ขอผมคิดเงียบ ๆ สักครู่ คิดได้แล้วจะตอบ”
* การที่สมองผู้หญิงสามารถรับข้อมูลได้ครั้งละมากกว่าผู้ชายก็อาจเกิดผลเสียได้เหมือนกัน คือทำให้ผู้หญิงตัดสินใจช้าลง เพราะเธอต้องใช้เวลาประมวลผลมากกว่า
เช่น คุณผู้ชายอาจเคยหงุดหงิดที่แฟนสาวดูเมนูแล้วมัวแต่ลังเลเลือกอาหารที่จะสั่งไม่ได้เสียที
ดังนั้นขอให้คุณผู้ชายเข้าใจว่า การประมวลผลปริมาณข้อมูลที่ผู้หญิงได้รับแต่ละครั้งก็เหมือนกับการดาวน์โหลดภาพถ่ายความละเอียดสูงที่ใช้เวลานานกว่าปกตินั่นเอง จึงขอให้ใจเย็นไว้
* และเนื่องจากคอร์ปัส แคลโลซัมของผู้ชายเล็กกว่าของผู้หญิง เขาจึงมักจะจดจ่อได้เพียงทีละอย่าง ดังนั้นในการสนทนาเขาจึงมักจดจ่อไปที่ “เป้าหมายในการพูดคุย” เท่านั้น เขาจะไม่คิดเรื่องอื่นไปด้วยแบบผู้หญิง
(และไม่สามารถทำได้ด้วย!)
พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ชายจะสนใจแค่ว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน และทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาเพื่อไปสู่เป้าหมายได้ แต่ผู้หญิงจะมีเรื่องความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
* และเนื่องจากผู้ชายไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองเท่าผู้หญิง ถ้าผู้หญิงไม่มีเหตุผลรองรับที่ดีพอในการสนทนา ผู้ชายก็ยากที่จะเข้าใจได้ และเมื่อเขาไม่เข้าใจ ก็จะไม่ลงมือทำ
* เวลาจะสื่อสารกับผู้ชาย ให้ผู้หญิงบอกประเด็นหลักสรุปไปตั้งแต่แรกเลย เช่น “ประเด็นสำคัญมี 3 ข้อ คือ...” และถ้าระหว่างพูดนึกเรื่องอื่นขึ้นมาได้ ก็ค่อยเสริมว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือ...”
* ผู้ชายเติบโตมากับการเล่นกีฬา ผู้หญิงเติบโตมากับการเล่นพ่อแม่ลูก ดังนั้นผู้ชายจึงอยากเติบโต เช่น ไปฝึกกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น หรือเป็นประธานบริษัทที่คิดจะขยายบริษัทให้ใหญ่ขึ้น
ในขณะที่ผู้หญิงที่เป็นประธานบริษัทจะให้ความสำคัญกับตัวงานและบรรยากาศการทำงานมากกว่าขนาดของบริษัท
* เวลาผู้ชายจะพูดกับผู้หญิงในการทำงาน ควรใช้คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับความร่วมมือร่วมใจและบรรยากาศในการทำงาน เช่น “เรามาพยายามทำไปด้วยกันเถอะ” ก็จะได้ความร่วมมือจากผู้หญิง
ส่วนฝ่ายหญิง ให้ถามหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำงานในทีมเป็นอย่างแรก ผู้ชายจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะเขาชินกับการเล่นกีฬาเป็นทีมแล้วมอบหมายหน้าที่แต่ละอย่างให้ผู้เล่นในทีม
* ผู้ชายต้องการเป็น “รักแรก” ของฝ่ายหญิง ส่วนผู้หญิงต้องการเป็น “รักเดียว” ของฝ่ายชาย
ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายรู้สึกดี ๆ กับผู้หญิงคนใด ควรใช้คำพูดว่า “คุณเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้” อย่าใช้คำว่า “น่ารักที่สุด” ”สวยที่สุด” ฯลฯ เพราะผู้หญิงจะระแวงว่ามีคนอื่น ๆ ที่รองลงไปจากเธออยู่ด้วย
* ผู้ชายชอบผู้หญิงที่ทุกคนชอบ เช่น คนสวยในสายตาของทุกคน เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองแข็งแกร่ง แต่ผู้หญิงจะเลือกคู่ครองที่เหมาะสมกับตนเองด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบคม
ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายต้องการสื่อสารกับผู้หญิงที่คุณชอบจริง ๆ ก็จงใช้คำพูดที่ทำให้เธอรู้สึกว่า คุณยอมรับในตัวตนของเธอ หรือมีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับเธอ
* ผู้ชายอยากเป็น “ที่หนึ่ง” ผู้หญิงอยากเป็น “หนึ่งเดียว”
ดังนั้น คุณผู้ชายต้องพูดกับคุณผู้หญิงว่า “คุณคือคนพิเศษหนึ่งเดียวของผม” ส่วนคุณผู้หญิงต้องพูดทำนองว่า “คุณคือคน...ที่สุด” หรือ “ตอนนี้ฉันมีความสุขที่สุด” ก็ได้
* ในชีวิตครอบครัว ผู้ชายควรถามภรรยาว่า “มีอะไรให้พอช่วยได้ไหม”
ส่วนภรรยาก็ต้องสั่งงานบ้านสามีให้ชัดเจนที่สุดโดยนึกว่าเขาเหมือนพนักงานใหม่ของบริษัท และเมื่อเขาช่วยทำงานบ้าน ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรก็ตาม ต้องชมเขาเยอะ ๆ ไว้ก่อนและขอบคุณเขาที่ช่วย
หลังเอ่ยชมและขอบคุณเสร็จแล้ว ถ้าผลงานเขาไม่ได้ดั่งใจก็อย่าดุ แต่ให้บอกทางแก้ปัญหาไปเลย เช่น
“ถ้าเว้นระยะตากผ้าให้ห่างกันมากกว่านี้ จะยิ่งแห้งไว้ขึ้นนะ” แล้วยอมรับว่าตัวเองสั่งงานไม่ละเอียดเอง
จากนั้นค่อยสั่งให้ชัดเจนว่า “คราวหน้าขอตามนี้นะ” สามีก็จะเข้าใจเองว่า “มีคำสั่งใหม่เพิ่มขึ้นมา”
* ในการทำงาน ผู้ชายต้องการความก้าวหน้า ผู้หญิงต้องการความสบายใจ ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณวางใจในตัวเธอ คุณผู้ชายควรใช้คำพูดว่า “มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้”
ส่วนผู้หญิงก็ควรแสดงให้ผู้ชายเห็นว่าคุณพร้อมที่จะลุยไปข้างหน้ากับความทะเยอะทะยานของเขา โดยการพูดว่า “งานนี้ต้องเอาชนะ(บริษัทคู่แข่ง)ให้ได้เลย!” เป็นต้น
* ในการทำงาน ผู้ชายให้ความสำคัญที่ผลลัพธ์ เช่นตัวเลขที่ชัดเจน ผู้หญิงให้ความสำคัญที่กระบวนการ
ดังนั้น เวลาคุณผู้หญิงจะเอ่ยชมผู้ชาย ให้ใช้คำพูดว่า “ทำยอดเพิ่มได้ ___เปอร์เซ็นต์จนได้นะ คนที่ใช้เทคนิค___ในการทำงานอย่างคุณถือว่าสุดยอดมาก”
* “ฮิปโปแคมปัส” ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่จัดการความทรงจำของผู้หญิงมีขนาดใหญ่ ผู้หญิงจึงสามารถจำได้ดีกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงจดจำได้ดีแม้กระทั่งความรู้สึก เพราะฮิปโปแคมปัสกับ “อะมิกดาลา” ซึ่งเป็นสมองส่วนความรู้สึกของผู้หญิงทำหน้าที่ประสานงานกันได้ดีกว่าของผู้ชาย
ดังนั้น เวลาเอ่ยขอบคุณลูกน้องเพศตรงข้ามที่ทุ่มเททำงานหนักจนงานสำเร็จ ผู้ชายควรพูดว่า “ลำบากมาหลายอย่างก็จริง แต่ก็สนุกดีเนอะ”
ส่วนผู้หญิงให้ชมลูกน้องชายว่า “ครั้งแรกของแผนกเราเลยนะที่สัญญาระดับ___ร้อยล้านเยนได้”
* กฎพื้นฐาน 4 ข้อ ในการเอ่ยชม ที่ใช้ได้ผลกับทุกเพศ คือ
1) ชมสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม
2) ชมในจุดที่อีกฝ่ายภาคภูมิใจ
3) ชมในจุดที่ตัวคุณเองประทับใจ(ในตัวตนหรือเรื่องราวข้าวของของอีกฝ่าย)
4) ชมทุกครั้งที่เจอหน้าอีกฝ่าย เจอหน้าปุ๊บให้ชมปั๊บ (ตอนแรกอาจไม่ชิน แต่ถ้าหมั่นใช้สติสังเกตสิ่งดี ๆ ของผู้อื่นอยู่เสมอ ก็จะทำได้เอง—ผู้วิจารณ์)
* ในการทำงานผู้ชายมักมีสมาธิดี(เพราะจดจ่อได้ทีละอย่าง)และมักทุ่มสุดตัวลงไปในสิ่งที่ทำอยู่ ส่วนผู้หญิงช่างสังเกตรับข้อมูลผ่านทุกประสาทสัมผัสได้มากกว่าและประมวลผลข้อมูลได้คราวละมาก ๆ จึงมักปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
ดังนั้น ถ้าลูกน้องหญิงของหัวหน้าชายคิดมากเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายเกินไปจนเริ่มทำอะไรไม่ถูก ก็ให้คุณให้กำลังใจเธอว่า “ลองทำไปก่อนเถอะนะ ไว้ค่อยมาแก้ไขทีหลังก็ได้”
ส่วนถ้าลูกน้องชายของหัวหน้าหญิงเริ่มมองอะไรแคบลงเรื่อย ๆ ก็ให้หัวหน้าหญิงช่วยให้เขาเห็นภาพรวมและสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้
* การหมั่นฝึกวิเคราะห์ว่า “ทำไมคนนี้ถึงพูดแบบนั้น” “ทำไมคนนั้นถึงทำแบบนี้” จะทำให้คุณเข้าใจวิธีคิดในรูปแบบต่าง ๆ ของคนรอบตัวได้มากขึ้น
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ถ้าอ่านรีวิวแล้วคุณผู้อ่านรู้สึกว่ายุ่งยากที่จะต้องมานั่งจำวิธีแก้ปัญหาทั้งหมด ครูแนะนำให้ข้อเดียวค่ะ คือ “ใช้สติ”
ใช้สติคอยสังเกตดู คอยฟังด้วยสติ สื่อสารออกไปด้วยสติ เพียงแค่นี้คุณก็สามารถจะสื่อสารกับคนทุกรูปแบบได้ดีขึ้นแล้ว
วันนี้คุณคิดจะทดลองสื่อสารด้วยสติกับใครดีคะ?
หนังสือชื่อ “ผู้หญิงไม่อธิบาย ผู้ชายเดาใจไม่เป็น” โดย อิโอตะ ทัตสึนะริ แปลโดย อารีรัตน์ นาคสวัสดิ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 261 หน้า ราคา 220 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 477 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เคล็ดลับจำแม่น เลิกซะทีกับการหลง ๆ ลืม ๆ”

ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถใน(การพัฒนาทักษะ)การจำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
เพียงพัฒนาทักษะการอ่านและการจำ ก็สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ไกลกว่าที่คุณคิด
ไม่ว่าคุณจะอยู่วัยกลางคน แล้วไม่อยากหลง ๆ ลืม ๆ เมื่ออายุมากขึ้น
หรือคุณจะอยู่ในวัยเรียน วันทำงาน แล้วรู้สึกว่าตัวเองไปได้ไกลกว่านี้
หนังสือเล่มนี้มีทั้งเทคนิคและแนวคิดดี ๆ มาให้คุณ


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มย่อมนี้เขียนขึ้นโดยอดีตนักเรียนผู้เรียนไม่ดีและท้อแท้แต่ก็ลุกขึ้นมามุมานะพัฒนาเทคนิคการเรียน การจำของตนเองขึ้นมาจนสามารถสอบเข้าเรียนคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยโตเกียวได้สำเร็จ
เขาก้าวหน้าทางหน้าที่การงานมาโดยลำดับและสามารถแตกสายงานไปได้หลายสาขา จนในที่สุดก็ออกมาเป็นวิทยากรสอนเทคนิคต่าง ๆ ของเขา
ในเล่มไม่เพียงแต่สอนเทคนิคการอ่านและการจำ แต่ยังขยายไปเรื่องแนวคิด การใช้ชีวิตให้ไปถึงฝันและมีความสุขด้วย
แบ่งเป็น 4 บทใหญ่ ได้แก่ 1) ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ด้วย “แนวคิด” 2) เอาชนะอุปสรรคด้วย “เทคนิคการจำ” 3) “เทคนิคการอ่าน” ที่ทำให้อ่านหนังสือที่ไม่ถนัดได้อย่างราบรื่น 4) “เทคนิคการบริหารเวลา” ไม่ให้สูญเปล่า
ผู้เขียนกล่าวว่า เวลาของคนเรามีจำกัด ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาด้วยเทคนิคแบบมิยากุจิของเขาได้ การดำเนินชีวิตโดยรวมก็จะเปลี่ยนแปลงไป
เหมาะกับทุกคนที่สนใจการพัฒนาตนเอง
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ความแตกต่างระหว่างคนสอบผ่านกับสอบไม่ผ่านคือ ความแตกต่างด้านจิตใจ
* คนที่มีความกล้าที่จะลงมือทำกล้าล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ และลงมือทำอย่างต่อเนื่องคือคนที่จะประสบความสำเร็จในที่สุด
* ก่อนนอนให้ฝึกจินตนาการถึงภาพที่ทำให้รู้สึกดีที่สุดไว้ในหัว คนเราหากมีพลังแห่งจินตนาการติดตัว วิธีการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป
* คนเราไม่สามารถจดจำสิ่งที่ไม่เข้าใจได้
* สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดของการศึกษาเทคนิคการจำคือ การถูกจิตใต้สำนึกบอกว่า “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
* รากฐานของเทคนิคการจำแบบมิยากุจิคือ “วิธีจดจำโดยใช้สถานที่” (Roman Room Method) โดยอาศัยพื้นฐานวิทยาศาสตร์ทางสมองว่า ความสามารถในการจำรูปแบบ (Pattern Recognition Abilities) ของมนุษย์เหนือกว่าของคอมพิวเตอร์
* ตัวอย่างเช่น เราสามารถมองเห็นหน้าแฟนท่ามกลางสถานทีรถไฟที่คนเยอะเป็นร้อย ๆ ได้ในชั่วพริบตา
* เทคนิคการจำแบบมิยากุจิมีอยู่สองขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นเตรียมความพร้อม และขั้นฝึกปฏิบัติ
* ขั้นเตรียมความพร้อม ได้แก่ 1) ฝึกจินตนาการให้เป็นภาพ 2) เตรียมฉากสำหรับแปะภาพที่จินตนาการไว้ให้พร้อม
* ขั้นฝึกปฏิบัติ ได้แก่
1) กำหนด “เป้าหมาย” ให้ชัดเจน เช่น “ต้องสอบให้ผ่าน” “ต้องจำข้อมูลการขายให้ได้”
2) เลือกเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย เช่น “โจทย์น่าจะออกแนวไหน” “ต้องได้กี่คะแนนถึงจะผ่าน”
3) กำหนด “Credo” หรือหัวใจสำคัญเป็นคำสั้น ๆ เช่น “ยอดขายอันดับ 1” แล้วนำไปแปะในจุดที่มองเห็นได้
4) ทำสัญลักษณ์และจับภาพรวม โดยใช้หลัก “ความเข้าใจ 70%” คือ ตัดสินใจเองได้ว่า อะไรควรจำ อะไรไม่จำเป็น
5) ฝึกสร้างจินตนาการ แล้วแปะวางลงไปในฉาก
6) ทบทวน
7) ประยุกต์ใช้จริง
* สิ่งสำคัญคืออย่ามองแค่งานตรงหน้า แต่ต้องตระหนักถึงเป้าหมายอยู่เสมอด้วย จะทำให้มีพลัง มีแรงจูงใจ
* สิ่งที่จะตัดสินว่า ระหว่างคนสองคนที่มีความสามารถเหมือนกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน มีเป้าหมายเหมือนกัน ใครจะสร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่า คือ ความกระตือรือร้นหรือเอาจริงเอาจัง
* ระดับความกระตือรือร้น จะแปรเปลี่ยนไปตามความตระหนักต่อเป้าหมาย
* การลืมส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังการจำ ตามหลักการของ “เส้นโค้งการลืมของเอบบิงเฮาส์”
* ช่วงที่ต้องทบทวนแบ่งออกเป็น 4 ครั้ง คือ วันเดียวกันนั้นเลย วันรุ่งขึ้น หลังจากนั้น 4 วัน และหลังจากนั้น 2 สัปดาห์
* ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งสามารถจินตนาการเป็นภาพได้มากกว่าเพราะมีประสบการณ์เห็นสิ่งต่าง ๆ มามากกว่า
* ในสมองมีส่วนที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex ซึ่งทำหน้าที่ช่วยประมวลความสำคัญของสิ่งที่จะจำ วิทยาศาสตร์ทางสมองพบว่า แม้อายุจะมาก แต่ ACC ก็ยังทำงานในส่วนของจินตนาการได้อย่างกระปรี้กระเปร่า
* ดังนั้น ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถใน(การพัฒนาทักษะ)การจำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
* กับดักที่ทำให้คนอ่านหนังสือตกหลุมพรางและไม่ประสบความสำเร็จ มีหลายข้อ เช่น
1) การคิดว่าต้องอ่านหนังสือที่ซื้อมาให้ครบทุกตัวอักษร
2) ไม่รู้ว่าจะอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร (สมองต้องการแรงกระตุ้นจากสิ่งที่ตนสนใจ)
3) อ่านเนื้อหาจากเล่มเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ หรือ ให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มเดียวมากไป
4) การคิดว่าคนที่อ่านจบแล้วเยอะ ๆ คือคนที่มีความรู้เยอะ (ตัวตัดสินที่แท้จริงอยู่ที่ “ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”)
5) การพยายามจำหนังสือให้ได้ทั้งหมด
* ในการอ่าน รอบที่ 1 ให้ “อ่านแบบกวาดสายตา” รอบที่ 2 “อ่านอย่างละเอียด” รอบที่ 3 เป็นต้นไป ให้ “เปิดดูผ่าน ๆ”
* การตระหนักต่อเป้าหมายว่า “อ่านหนังสือเล่มนี้ไปเพื่ออะไร” คือกุญแจสู่ “ความสนุก”
* ถ้าอ่านแล้ว “สนุก” ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มใดก็จะเกิด “ความเข้าใจ” และถ้าเข้าใจก็จะสนุก ซึ่งจัดว่าเป็นวงจรความสุขอย่างหนึ่ง
* Workflow 7 ข้อสำหรับการอ่านหนังสือ
1) ต้องชัดเจนว่า “จะแก้ปัญหาอะไร”
2) เลือกหนังสือให้ตรงเป้าหมาย
3) เขียน Credo หรือ ความเชื่อในเป้าหมายลงบนกระดาษโพสต์อิท แล้วไปแปะที่หน้าแรกของหนังสือ
4) อ่านหนังสือพร้อมทำสัญลักษณ์ไปด้วย เช่น แปะโพสต์อิทและเขียนโน้ตเอาไว้
5) หาข้อมูลเกี่ยวกับส่วนที่แปะโพสต์อิทไว้จากหลาย ๆ แหล่งประกอบ
6) ทำ Mindmap โดยแปะ Credo ไว้ตรงกลาง แล้วแปะเนื้อหาไว้รอบ ๆ
7) ตรวจสอบความถูกต้องและเรียบเรียงคำพูดใหม่ไปถ่ายทอดต่อ
* การเลือกใช้ social media ที่เหมาะสมถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาจะทำให้เข้าใจมากขึ้นและจำได้มากขึ้น เช่น ถ้าใช้ทวิตเตอร์ ก็จะเป็นการฝึกสรุปเนื้อหาให้สั้นกระชับ
* ปรับเปลี่ยน “วิธีอ่าน” ให้เข้ากับหนังสือแต่ละประเภท
1) หนังสือทั่วไป ให้ใช้ “จินตนาการ”
2) หนังสืออ่านยาก ให้ใช้หลัก “ความเข้าใจ 70%”
3) หนังสือคู่มือ ให้กำหนด “เป้าหมาย” ในการอ่านให้ชัดเจน แล้วทำ mindmap ขึ้นมา
4) หนังสือเตรียมสอบ ให้ใช้ “หลักการจดจำโดยใช้สถานที่” และ mindmap
* สิ่งสำคัญคืออย่าให้มีอุปสรรค เช่น โต๊ะที่นั่งอ่านไม่สบาย หรือมีสิ่งรบกวน เช่น ข้อความจากมือถือ เข้ามาขัดขวางการอ่านหนังสือ
* ถ้าทำอะไรพลาดไป เช่น ไม่สามารถอ่านได้ต่อเนื่องทุกวัน ก็อย่าเสียใจและตำหนิตัวเอง ให้เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ และลุกขึ้นทำใหม่
* เขียนสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งหมดออกมาอย่างเป็นรูปธรรมลงบนกระดาษโพสต์อิท แล้วจะรู้สึกสมองโล่ง สบายใจขึ้น
* เขียนออกมาแล้วให้จัดหมวดหมู่เป็น
1) เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทำตอนนั้น วางไว้ก่อน
2) เรื่องที่สามารถขอร้องให้คนอื่นช่วยทำได้ ขอร้องให้คนอื่นช่วย
3) เรื่องที่สามารถทำได้ใน 5 นาที (หรือทำรวดเดียวเสร็จ) ทำทันที
4) เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ใน 5 นาที (หรือทำในรวดเดียว) ซอยออกมาเป็นงานย่อย ๆ ที่ทำเสร็จได้ใน 5 นาที แล้วลงมือทำ
* เมื่อสามารถทำสิ่งเล็ก ๆ เสร็จไปทีละอย่าง จะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้งานถัดไปเร็วขึ้น
* สัญชาตญาณของมนุษย์คือ ความรู้สึกอยากหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบ ดังนั้นควรทำงานให้สนุกเหมือนเล่นเกม และใส่กิจกรรมคลายเครียดลงไปในตารางเวลาครั้งละประมาณ 10 นาที และจัดเป็นภารกิจที่ต้องทำด้วย
* หมั่นวิเคราะห์อยู่เสมอว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายหรือยัง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
* การทำงานหรืออ่านหนังสือที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายโดยตรง จะทำให้รู้สึกถึงพลังแห่งความสำเร็จ
* ถ้ามีวินัยทำทุกสิ่งที่ต้องทำติดต่อกันจนเป็น “กิจวัตร” ได้เหมือนการตื่นนอนขึ้นมาแล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน เป้าหมายต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ความสำเร็จในชีวิตเกิดจาก 1) การมีเป้าหมายที่ชัดเจน 2) วางแผนเส้นทางเดินไปสู่เป้าหมายให้ชัดเจน 3) รู้เทคนิคในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น การอ่าน การจำ ฯลฯ)
4) ลงมือทำอย่างกระตือรือร้นไม่ย่อท้อ 5) เชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้แม้ว่าจะพลาดไปบ้าง 6) มีวินัยทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกิจวัตร 7) หมั่นตรวจสอบเป้าหมายและจุดที่ยืนอยู่เสมอ
หนังสือชื่อ “เคล็ดลับจำแม่น เลิกซะทีกับการหลง ๆ ลืม ๆ” โดย คิมิโทชิ มิยากุจิ แปลโดย จุฑาทิพย์ บวบทอง สำนักพิมพ์ "พราว" 215 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป