วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

อยากได้นิทานธรรมะสนุก ๆ ไว้สอนลูกและสอนใจตนเองไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 104 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “นิทานล้านความดี” โดยท่านว.วชิรเมธีค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มกะทัดรัดพกพาสะดวก แถมราคาแสนถูก (59 บ.) นี้ เป็นการวมเรื่องเล่าสอนใจชวนให้คิดที่ท่านว.วชิรเมธีรวบรวมมาจากแหล่งต่าง ๆ มากมายค่ะ ไม่เพียงแต่มาจากพระไตรปิฎกเท่านั้น
ในคำนำนั้นท่านว.ให้ความรู้ว่า  กุศโลบายที่พระพุทธองค์ใช้สอนธรรมะนั้นมีถึง 9 รูปแบบ และการใช้นิทาน หรือ ชาดก ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบนั้นค่ะ  โดยทรงแสดงไว้ถึง 550 เรื่องทีเดียว
ท่านว.มีวิธีการเล่าเรื่องด้วยลีลาที่สนุกสนาน  ปรับเรื่องให้มีความร่วมสมัย  หลายเรื่องสอดแทรกอารมณ์ขันจนต้องอมยิ้มหรือหัวเราะออกมาดัง ๆ  เหมาะทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ
ในเล่มซึ่งมีทั้งหมด 27 เรื่องนั้นแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้ค่ะ  1) ความคิดและสติปัญญา  2) สัจธรรมของชีวิต  3) กิเลสภายในใจ  4) ธรรมะเพื่องานและการคบมิตร  5) กตัญญูและเรียนรู้การให้  และ 6) ความสุขที่สร้างได้
=ตัวอย่างเรื่องย่อนิทาน เรื่อง “ไม่แน่” จากหมวด “สัจธรรมของชีวิต=
สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้มีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุ 16 ปี อาศัยอยู่กับปู่ผู้อายุ 80 ปี  ทุก ๆ วันหลานจะพาม้าตัวโปรดออกไปกินหญ้า  ม้าตัวนี้เป็นม้าพันธุ์ดี วิ่งได้วันละพันลี้
วันหนึ่งหลานร้องไห้ฟูมฟายมาหาปู่  “ปู่ครับ ม้าผมหาย!”  “ใจเย็น ๆ หลานเอ๊ย มันไม่แน่”  ปู่ปลอบ
หลานร้องไห้กลับออกไป ในใจนึกโกรธปู่  “เราเสียใจแทบแย่ ปู่บอกไม่แน่คำเดียว ปู่ไม่มีหัวใจ”
สัปดาห์ต่อมา ม้าที่หายไปวิ่งกลับมาพร้อมกับม้าตัวเมีย  เด็กหนุ่มดีใจมาก วิ่งไปบอกปู่ว่า “ปู่ ๆ ม้ากลับมาแล้ว พาม้ามาอีกหนึ่ง เป็นม้าพันธุ์ดีด้วย!”
“ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งดีใจ  มันไม่แน่”  ปู่บอก
หลานหัวเสีย “อะไร ๆ ก็บอกว่าไม่แน่  มีอะไรที่แน่สักอย่างไหมนะ”  ด้วยความดีใจที่ม้ากลับมา  เขากระโดดขึ้นควบม้า  ทันใดนั้นเองเขาลื่นตกลงมา ขาหัก คลานไปหาปู่
“ปู่  ผมไม่อยากอยู่เป็นคนแล้ว  ขาผมหัก  ชีวิตช่างแย่จริง ๆ”  เขาโอดครวญ
“ใจเย็น ๆ ลูก  มันก็ไม่แน่เหมือนกัน”  ปู่บอก
วันรุ่งขึ้นทหารของจิ๋นซีมาเคาะประตูหน้าบ้าน  “บ้านหลังนี้มีชายหนุ่มไหม  ไปเป็นทหารแนวหน้าเดี๋ยวนี้”
หลานเดินลากขาที่หักออกมา  พอทหารเห็นก็พูดว่า  “อ้าว..ขาหักอย่างนี้จะไปเป็นทหารได้อย่างไร”  เลยอนุโลมให้
พอทหารกลับไป  หลานคลานไปหาปู่  “ผมไม่ต้องไปเป็นทหารแล้ว  ดีใจมากเลยครับ”  ปู่หันมาบอกว่า “มันไม่แน่”
จะเห็นได้ว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรแน่นอน  ฉะนั้นดีที่สุดคือ อย่าเหลิง อย่าประมาท  ต่ำที่สุดก็อย่าสลด  เก็บไว้เป็นบทเรียน  ดำเนินชีวิตอยู่บนทางสายกลางและรู้เท่าทัน
หนังสือชื่อ “นิทานล้านความดี” โดย ว.วชิรเมธี  สำนักพิมพ์ปราณพับลิชชิ่ง  ธันวาคม 2557   160 หน้า ราคา 129 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
กรุณากดติดตามหนังสือ”นิทานล้านความดี”ได้ที่ https://goo.gl/MmfelJ

พระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ เล่มใหม่นี้เกี่ยวกับอะไร?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 102 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “รอยยิ้มและน้ำตาของหัวใจ” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มเล็กบาง อ่านวันเดียวจบนี้ เป็นหนังสือประเภทรวมเรื่องสั้น 4 เรื่องค่ะ  แต่ถึงจะเป็นเรื่องสั้น ทุกเรื่องก็ทรงพลังมิใช่น้อย  บางเรื่องสะเทือนใจมากทีเดียวค่ะ 4 เรื่องนี้เขียนโดยนักเขียนหญิงชาวจีน 3 คน  คนแรกเขียนเรื่องราวยุค 1940  อีกสองคนเขียนเรื่องร่วมสมัยค่ะ โดย 2 เรื่องแรกในเล่มเป็นวรรณกรรมเด็กที่เขียนให้ผู้ใหญ่อ่านด้วยเหมือนกัน  เด็กก็คงจะได้รับอรรถรสใส ๆ แบบเด็ก ๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่ก็น่าจะสัมผัสอะไรที่ลึกซึ้งลงไปได้มากกว่าค่ะ  อีก 2 เรื่องหลังเป็นเรื่องราวของความรักที่พล็อตเรื่องมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครค่ะ
=เค้าโครงทั้ง 4 เรื่อง=
*  เรื่องแรก “โคมส้มดวงน้อย” เป็นการพบกันโดยบังเอิญระหว่างหญิงสาวชาวเมืองผู้หนึ่งกับเด็กหญิงยากจนวัย 8 ปีในชนบทในช่วงทศวรรษ 1940  แม้จะเป็นการมีปฏิสัมพันธ์กันไม่นาน  แต่หนูน้อยก็ยังสามารถมอบมุมมองของชีวิตที่น่าประทับใจให้กับหญิงสาวได้  ความพิเศษของเรื่องนี้คือสามารถสร้างความสะเทือนใจแต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความหวังอยู่ในตัวค่ะ
*  เรื่องที่ 2 “หมิงจื่อกับเหมียวน้อยมีจื่อ”  เป็นเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง คุณย่าของเขา และลูกแมวตัวน้อยชื่อมีจื่อ  เรื่องราวสั้น ๆ ที่ดำเนินเรื่องอย่างเรียบง่ายนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงหัวใจอันอ่อนโยนบริสุทธิ์ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความรักย่า หรือรักสัตว์เลี้ยง  อ่านแล้วอยากจะเข้าไปกอดทั้งหนูน้อยหมิงจื่อและเจ้าแมวมีจื่อค่ะ
*  เรื่องที่ 3 “สาวน้อยเสี่ยวหยูว” พาเรามาสัมผัสชีวิตของหนุ่มสาวจีนสมัยใหม่ชั้นกรรมาชีพที่ออกไล่ล่าความฝันไปสร้างเนื้อสร้างตัวที่ประเทศออสเตรเลีย  แน่นอนชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ  พล็อตเรื่องสร้างอย่างชาญฉลาดชวนติดตามและบีบคั้นหัวใจขึ้นเรื่อย ๆ  และถึงแม้จะเป็นเรื่องสั้นก็ยังสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นได้ชัดเจน  เรื่องนี้สอนเรื่องความรักในแบบที่คาดไม่ถึงค่ะ
*  เรื่องที่ 4  “ตำนานกับข้าวคู่”  เรื่องนี้มี flashback เป็นเรื่องราวในวัยเด็กของเด็กชายคนหนึ่งที่เล่าถึงความทรงจำที่มีต่ออาหารรสมือแม่และอาหารของชู้รักของพ่อ  เรื่องนี้ใช้ “อาหาร” เป็นตัวดำเนินเรื่องในลักษณะเป็น “สัญญะ” อย่างสร้างสรรค์ค่ะ  จนกระทั่งเด็กน้อยได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่มก็ยังโยง “อาหาร” เข้ากับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้หญิงแต่ละคนในชีวิต  เรื่องนี้ให้หลาย “รส” ค่ะ  มีทั้งเรื่องลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนและเรื่องของหัวใจ  ผู้เขียนเข้าใจผูกเรื่องค่ะ
=สรุป=
อ่านจบ 4 เรื่องแล้วผู้วิจารณ์ก็ย้อนกลับไปอ่านพระราชนิพนธ์บทนำของสมเด็จพระเทพฯ ใหม่  แล้วก็รู้สึกเหมือนตอนอ่านพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ตลอดกาลน่ะนานแค่ไหน” ค่ะ  นั่นก็คือ  ต่อเมื่อเราอ่านจบเล่มแล้วกลับมาอ่านบทนำใหม่เท่านั้น เราถึงจะได้รับอรรถรสของเรื่องสั้นทั้ง 4 นี้อย่างสมบูรณ์ รู้สึกเติมเต็ม ทรงสรุป “สาร” ที่ผู้เขียนแต่ละคนต้องการจะสื่อออกมาอย่างลึกซึ้งกินใจ ทำให้รู้สึกชื่นชมในพระอัจฉริยภาพมากค่ะ  ไม่ใช่แค่ในพระปรีชาสามารถในการแปลอย่างไม่มีที่ติเท่านั้นนะคะ  แต่ยังรวมไปถึงพระปรีชาญาณในการเข้าใจมนุษย์เข้าใจชีวิต  และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรง “สอน” เรื่องชีวิตให้พวกเราพสกนิกรด้วยพระเมตตาผ่านพระราชนิพนธ์แปลนี้ค่ะ
หนังสือชื่อ “รอยยิ้มและน้ำตาของหัวใจ” โดย ปิงซิน, เหยียนเกอหลิง และ ซูเฉี้ยว  พระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น  พิมพ์ครั้งที่ 2  มีนาคม 2558 120 หน้า ราคา 145 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ

มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ”รอยยิ้มและน้ำตาของหัวใจ”ได้ที่ https://goo.gl/KgGDCK

อยากพัฒนาศักยภาพความจำไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 101 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ใช้หัวจำ ฉบับลองลิ้มชิมรส” ค่ะ



=ภาพรวม=

หนังสือ “ใช้หัวจำ ฉบับลองลิ้มชิมรส” นี้ มีขนาดเล็กจิ๋วเพราะว่าเป็นเล่มที่ย่อเทคนิคต่าง ๆ มาจาก “ใช้หัวจำ” ฉบับสมบูรณ์อีกทีค่ะ แต่ถึงจะเล็กก็เล็กพริกขี้หนูนะคะ  เพราะถ้าทดลองนำเทคนิคต่าง ๆ นี้ไปใช้อย่างจริงจังแล้วล่ะก็  คุณจะทึ่งว่าศักยภาพในการจำของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว  เคล็ดลับคือต้องหมั่นมีสติช่างสังเกต ใช้จินตนาการ ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5  สร้างความเชื่อมโยง และฝึกใช้บ่อย ๆ ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  สมองมีพลังมหาศาล เหนือกว่าคอมพิวเตอร์ใด ๆ เปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ไม่มีสิ้นสุด และพัฒนาตลอดเวลาไม่เคยหยุดทำงาน
*  มนุษย์มีเซลล์สมอง (นิวรอน) หนึ่งล้านล้านเซลล์  แต่ละเซลล์สามารถสร้างรูปแบบการเชื่อมโยงแตกต่างกันได้ถึง 10,000,000,000,000,000,000,000,000,000 รูปแบบ  นั่นหมายถึงศักยภาพในการจำอันมหาศาล
*  สมองจะสร้างเส้นทางเดินของข้อมูลให้แข็งแกร่งมากขึ้นทุกครั้งที่มีการทำซ้ำอย่างเดียวกัน
*  ทุกความคิด ทุกสัมผัส จะทำให้ความเชื่อมโยงที่มีอยู่แข็งแกร่งขึ้น  ยิ่งคุณเรียนรู้มากขึ้น  คุณก็จะเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
*  ทุกวันนี้เราใช้ศักยภาพสมองยังไม่ถึง 1%!
*  สมองซีกขวาประมวลเรื่องเกี่ยวกับจังหวะ จินตนาการ ฝันกลางวัน สีสัน มิติ และภาพรวม  สมองซีกซ้ายประมวลเรื่องตรรกะ คำ รายการ ตัวเลข ลำดับ เส้น และ การวิเคราะห์  ทั้งสองซีกทำงานร่วมกันเสมอ
*  เราจะจำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นเมื่อสิ่งนั้น  1) มีการเชื่อมโยงกับของอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่ในความจำอยู่แล้ว  2) มีความโดดเด่นที่ดึงดูดให้เกิดจินตนาการ  3) เมื่อเราใช้อายตนะทั้ง 6 มาช่วยจำ และ 4) เรามีความสนใจเรื่องนั้น
*  เทคนิค นีโมนิกส์ (Mnemonics) คือเทคนิคช่วยจำด้วยการใช้คำ ๆ หนึ่ง หรือ ภาพ ๆ หนึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณนึกถึงข้อความ ชื่อ หรือลำดับเหตุการณ์ได้  มาจากคำว่า Mnemon ในภาษากรีกแปลว่า “มีสติ”
*  ความรู้สึกผ่อนคลาย คิดในเชิงบวก และอารมณ์ขันจะช่วยความจำ  หากทำงานภายใต้ความเครียดจะเรียกข้อมูลจากความจำขึ้นมายาก
*  จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์  การเรียนรู้ใด ๆ ควรมีการหยุดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยให้การซึมซับข้อมูลมีประสิทธิภาพที่สุด  การเรียนคาบละ 2 ชม. ควรมีการหยุดพักทุก 30 นาที
*  การ “เชื่อมโยงเรื่องราว” จากกลุ่มคำหรือหัวข้อที่คุณต้องจำเป็นหนึ่งในเทคนิคการจำ  ต้องทำให้เรียบง่าย ชัดเจน และเชื่อมโยงทีละคำ การจำด้วยภาพที่มีความเกินจริงมาก ๆ จะช่วยมากที่สุด
*  เทคนิคการจำสำคัญ ๆ 5 ระบบในเล่มนี้คือ  1) ระบบเลขรูปทรง  2) ระบบเลขเสียงคล้องจอง  3) ระบบอักขระ  4) ระบบห้องความจำ  และ  5) ระบบชื่อและใบหน้า
*  ชาวโรมันคิดเทคนิค “ห้องแห่งความจำ” เอาไว้  โดยให้คุณจินตนาการห้องส่วนตัวของคุณที่มีข้าวของวางอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ไว้เป็นพื้นฐาน  จากนั้นเวลาต้องการจำอะไรก็สร้างภาพสิ่งนั้นไปผูกกับข้าวของแต่ละชิ้นในห้อง  ยิ่งคุณสามารถจินตนาการทั้งภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ เข้าไปด้วยก็จะยิ่งจำได้ดี
*  อย่าลนลานเวลาคุณพยายามจำใบหน้าและชื่อใหม่ ๆ  ยิ่งคุณรู้สึกสนุกและผ่อนคลาย คุณจะยิ่งสามารถมีจินตนาการได้ดีและจำได้มากขึ้น
หนังสือชื่อ “ใช้หัวจำ ฉบับลองลิ้มชิมรส” โดย โทนี บูซาน  แปลโดย นพดล จำปา และ ธัญญา ผลอนันต์  สำนักพิมพ์ขวัญข้าว’ 94 กรกฎาคม 2551 108 หน้า ราคา 120 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
 มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ“ใช้หัวจำ ฉบับลองลิ้มชิมรส”ได้ที่ https://goo.gl/i3Y2nm

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

นักธุรกิจคิดนอกกรอบชาวญี่ปุ่นอยากแนะนำคุณว่าอะไรบ้าง?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 99 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อย ให้ได้มาก” ค่ะ



=ภาพรวม=
ผู้แต่งเล่มนี้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตค่อนข้างเร็ว แค่ประวัติการศึกษาเขาก็ค่อนข้างแปลกกว่าคนญี่ปุ่นทั่วไปแล้วค่ะคือไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา ซึ่งนี่คงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหมั่น “คิดนอกกรอบ” นั่นเองค่ะ
โดยผู้แต่งแนะนำให้มีสติคอยสังเกตสิ่งต่างๆที่ “สามัญสำนึก” หรือ “สังคมรอบตัว” มักจะบอกให้เราทำนั่นเองค่ะ  เพราะทางออกที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่วิธีนั้นเสมอไป
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า “สามัญสำนึก คือ ผลรวมของอคติทั้งหลายที่เราได้รับมาจนอายุสิบแปด”
*  ขยันไม่ถูกจุด พยายามไม่ถูกทาง ชีวิตก็ย่ำอยู่ที่เดิม ประเด็นไม่ใช่ว่าต้องทำงานหนักขึ้น มากชั่วโมงขึ้น ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด หากอยู่ที่ทำงานให้ฉลาดขึ้นและได้ผลมากกว่า จนกระทั่งสัปดาห์หนึ่งสามารถหยุดได้ถึง 3 วัน
*  เพิ่มเวลาพักให้มากขึ้น แล้วจะเกิดสิ่งดีๆตามมามากมาย ช่วยให้ไม่เกิดความเครียดสะสม
*  อย่ามอบงานธรรมดาๆอย่างงานขายให้กับคนเก่งทำถึงแม้เขาจะทำได้ดีกว่าคนอื่นมาก ควรมอบเวลาว่างให้เขามาก ๆ เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาคิดและทำงานที่ “มีแต่คนเก่งเท่านั้นที่จะทำได้” เช่น การวางกลยุทธระยะยาวของบริษัท
*  หากถูกถามว่าตอนนี้คุณประเมินตนเองไว้กี่คะแนน คุณจะตอบอย่างไร? คนส่วนใหญ่จะประเมินว่าตนเองได้ประมาณ 70 คะแนน  คนพวกนี้มีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงน้อย ไม่พร้อมที่จะ “ทิ้ง” สิ่งต่างๆที่ทำกันอยู่ตามธรรมเนียม เพราะเขามองว่าตนเองมีโอกาสที่จะพัฒนาอีกแค่ 30 เปอร์เซ็นต์
*  การเติบโตหมายถึง “ความกล้าหาญในการทิ้งตัวตนเดิมของเรา”
*  การเพิ่มทักษะให้สูงขึ้นกับการเติบโตนั้นต่างกัน ทักษะคือสิ่งที่เราขวนขวายมาใส่ตัว แต่การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง
*  สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ “ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้โดยไม่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น”  ถ้าด่วนตัดสินว่า “เป็นไปไม่ได้” ก็จะไม่มีวันฉุกคิดถึงแนวทางอื่นๆได้เลย
*  ทั้งพี่น้องตระกูลไรท์ผู้ประดิษฐ์เครื่องบินและไอน์สไตน์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพล้วนเป็นผู้ที่คิดเรื่อง “นอกสามัญสำนึก” และทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา
*  “ทิ้งลูกค้าให้เป็น แล้วยอดขายจะมากขึ้น” ลูกค้าที่ต้องทิ้งในที่นี้คือ “ลูกค้าที่น่าปวดหัว” เพราะจะทำให้เสียเวลาพนักงานขายมากเกินไป อาจขอลดราคาจนไม่มีกำไร และทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง*  “มองข้ามลูกค้ารายใหญ่ไปเสียบ้าง”  ถ้ามีลูกค้ารายใหญ่เกินไป เขาอาจบีบให้เรารู้สึกว่าเราขาดเขาไม่ได้และต้องทำตามข้อเรียกร้องทุกอย่าง  ลูกค้าอื่น ๆ ก็จะเรียกร้องตาม และถ้าเขายกเลิกการใช้บริการเราเมื่อไหร่บริษัทก็จะได้รับผลกระทบมากเกินไป
*  การสร้าง “แบรนด์” ให้บริษัทเป็นเรื่องสำคัญ ที่สำนักงานผู้แต่งมีบรรยากาศสบายๆที่จะเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้พนักงาน และทำให้ยอดขายสูงตามขึ้นไป เมื่อสื่อรู้ว่าบริษัทนี้ดูแลพนักงานดีมากๆก็จะนำไปช่วยโปรโมท ทำให้มีคนเก่งๆอยากมาทำงานด้วย
*  หากไม่หัดใช้เงิน ก็ไม่มีทางที่จะมีทักษะด้านการใช้เงิน หากไม่ยอมใช้เงินเลยเพราะกลัวว่าจะทำกำไรไม่ได้ ก็จะไม่มีวันรู้วิธีใช้เงินเพื่อให้ได้กำไร
*  อย่าไปยึดติดว่ากว่าจะได้เงินมายากแค่ไหน ให้คิดว่า “จะใช้เงินอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” ดีกว่า
*  ถ้าไม่ขาดทุน ก็ไม่สามารถพัฒนาทักษะการใช้เงินได้ ทาดาชิ ยาไน ผู้ก่อตั้งยูนิโคล เคยเขียนหนังสือชื่อ “ชนะหนึ่งครั้ง แพ้เก้าครั้ง” นั่นย่อมแสดงความเขาเคยขาดทุนมาแล้ว
หนังสือชื่อ “ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อย ให้ได้มาก” โดย โยชิโอะ ยะซุดะ แปลโดย โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์  สำนักพิมพ์วีเลิร์น  164 หน้า ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ

มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญพบกับหนังสือ“ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อย ให้ได้มาก”ได้ที่ https://goo.gl/ugxKri

อึดอัดใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างไรอยู่?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 97 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “อ่านใจคนได้ใน 1 นาที” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพฤติกรรมมนุษย์ โดยจะเน้นการใช้จิตวิทยามาวิเคราะห์คำพูด สีหน้า ท่าทางในบทสนทนาโต้ตอบสั้นๆเพื่อหาความจริงค่ะ แน่นอนค่ะเทคนิคเหล่านี้ถูกนำไปใช้โดยตำรวจในการสืบพยานหรือสอบสวนผู้ต้องหา แต่หลายตัวอย่างในเล่มก็เป็นเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ในที่ทำงานและความสัมพันธ์ส่วนตัวได้
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ถ้าสงสัยว่าอีกฝ่ายเสพยา หรือ ขโมยของใช้สำนักงานไป ให้เลี่ยงการถามซึ่งหน้าตรง ๆ แต่ใช้วิธีถาม “เกี่ยวกับ” เรื่องนั้นๆแทน เช่น “เพิ่งอ่านมาว่า 33% ของคนอเมริกันเคยเสพยา” หรือ  “คุณคิดว่าเราควรทำอย่างไรให้คนเลิกขโมยของใช้สำนักงาน” แล้วสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ถ้าเขามีท่าทางอึดอัดและพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ก็สันนิษฐานได้ว่าเขาผิดจริง แต่ถ้าเขาบริสุทธิ์เขาจะตอบอย่างปกติ หรือกระตือรือร้นด้วยซ้ำค่ะ
*  ถ้ามีสิ่งต่างๆที่ผู้นั้นไม่รู้จักวางอยู่ตรงหน้าหลายๆชิ้น คนเราจะถูกดึงดูดให้เข้าหาสิ่งเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเขารู้จัก เคยเห็น หรือรับรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นมาก่อน เขาจะให้ความคนใจกับสิ่งนั้นเป็นอันดับแรก หรืออาจมองสิ่งนั้นนานกว่าสิ่งอื่นๆ
*  ผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนผิดมีแนวโน้มที่จะออกอาการเอาเรื่อง ส่วนผู้ที่ทำความผิดจริงๆมักจะออกอาการปกป้องตนเอง
*  ถ้าลูกค้าของคุณและตัวคุณนั่งอยู่บนเก้าอี้สีแดงระหว่างที่คุณนำเสนอผลงาน เมื่อนำเสนอเสร็จให้คุณพาเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่มีเก้าอี้สีแดงและสีเทาอย่างละสองตัว ถ้าเขาประทับใจการนำเสนองานของคุณ เขามีแนวโน้มที่จะนั่งเก้าอี้สีแดงมากกว่าสีเทา
*  เมื่อคุณถามเจ้านายว่าเธอคิดอย่างไรกับแนวคิดใหม่ของคุณแล้วเธอตอบว่า “ฉันชอบมันนะ” ก็เป็นไปได้มากว่าเธอชอบจริงๆมากกว่าการพูดว่า “มันก็เข้าท่าดีนะ” หรือ “คุณทำได้เยี่ยมไปเลย” เพราะ 2 คำตอบหลังนั้นเลี่ยงการเอาตนเอง (“ฉัน”) เข้าไปพัวพันด้วย
*  ถ้าอีกฝ่ายมีความอึดอัดไม่สบายใจหรือหวาดกลัว เขาจะกลอกตาไปมา มีท่าทางวอกแวก หรือไม่ก็แข็งทื่อไป น้ำเสียงจะแหลมและสูงขึ้น มีอาการกลืนลำบาก บางคนจะกระแอมเวลาประหม่าเพราะความกังวลจะทำให้เสมหะก่อตัวขึ้นในลำคอ
*  ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา 5 ครั้งซ้อนก่อนปี 2000  ผู้สมัครที่กระพริบตาถี่กว่าในการโต้วาทีระหว่าง 2 พรรคจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง
*  คนที่มีความมั่นใจจะเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมาย คนที่มีความประหม่าไม่มั่นใจจะมัวกังวลอยู่กับ “ความดูดี” ของตนเอง
*  คนที่ถูกความกลัวเข้าครอบงำจะค่อย ๆ ถอยกลับไปแสดงพฤติกรรมผ่านแรงขับของเด็กทารกและสัตว์ เช่น กัดปากกา หรือพฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเองอย่างการระเบิดความโกรธ ความอิจฉาริษยา หยาบคาย ไม่เกรงใจ
*  ถ้าการแสดงออกทางอารมณ์ขัดกับคำพูด ให้เชื่ออย่างแรก เช่น ถ้าชายคนหนึ่งมีสีหน้าบึ้งตึงหรือกำมือแน่นขณะที่บอกรักแฟนสาวของเขา นั่นหมายถึงเขาไม่ได้รู้สึกต่อเธอเช่นนั้นเลย
*  สำหรับคนถนัดขวา เมื่อคุณขอให้เขาเล่าความจริงที่เกิดขึ้น ถ้าเขาเหลือบตาไปข้างบนแล้วมองไปทางซ้ายแปลว่าเขากำลังคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเขามองไปทางขวาแปลว่าเขากำลังจินตนาการเรื่องใหม่ขึ้นมา (แสดงว่าพูดโกหก) ถ้าเป็นคนถนัดซ้ายจะกลอกตาไปด้านตรงข้าม
*  คนที่โกรธ หงุดหงิด ผิดหวังกับชีวิต รู้สึกว่าไม่เคยได้สิ่งที่คาดหวังจะหาโอกาสสร้างความประทับใจให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ดิ้นรนเสาะหาการยอมรับนับถือจากคนอื่น หมกมุ่นกับสิ่งที่เขาไม่มี สิ่งที่เป็นของคนอื่น การเดินทางของเขาไม่เคยนำมาซึ่งความพอใจ และยังลงโทษตัวเองด้วยการกินเหล้า หรือ เสพยา ด้วย
*  คนที่พูดถึงชีวิตในวัยเด็ก พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนในวัยเด็กด้วยความเกรี้ยวกราด ใช้ภาษาที่ก้าวร้าวรุนแรงหรืออาจถึงขั้นด่าทอ เป็นคนอันตราย เพราะแสดงว่าเขามีประเด็นปัญหาที่ค้างคาใจที่อาจจะระเบิดออกมาในเร็ววันนี้
หนังสือชื่อ “อ่านในคนได้ใน 1 นาที” โดย เดวิด เจ.ไลเบอร์แมน  สำนักพิมพ์วีเลิร์น  192 หน้า ราคา 170 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
 มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการให้หนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสกันนะคะ
ขอเชิญหาซื้อของขวัญเล่มนี้ได้ที่ https://goo.gl/HYJQfp

พัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จและความสุขแบบญี่ปุ่นเป็นอย่างไร?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 95 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เปลี่ยนเป็นคนส่วนน้อยที่สำเร็จมากกว่าคนส่วนใหญ่” โดยโค้ชปัญหาชีวิตเจ้าของผลงานเขียนยอดขายรวม 850,000 ในญี่ปุ่นค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยทันตแพทย์เจ้าของคลีนิคซึ่งหันมาศึกษาเรื่องจิตวิทยาการพัฒนาตนเองเพิ่มเติม  นอกเหนือจากงานทันตกรรม คุณหมอได้เป็นโค้ชแก้ปัญหาชีวิตให้คนมาแล้วกว่า 60,000 คนด้วยค่ะ คุณหมอผู้เขียนกล่าวในบทนำว่า ตนเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถพัฒนาตนมาเป็นคนจำนวน 1% ที่ “ชีวิตทุกด้านไปได้สวย” ค่ะ ในเล่มแบ่งเป็น 6 บท  คือ  1) วิธียกระดับภาพลักษณ์ตนเอง  2) วิธีเพิ่มเวลา  3) วิธีเผชิญหน้ากับงาน  4)  เคล็ดลับด้านมนุษย์สัมพันธ์  5) วิธีเรียนรู้และลงทุนกับตนเอง  และ  6) วิธียกระดับความสุข ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  หลุมพรางที่คนที่มีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังมักจะตกลงไป คือ การมัวแต่ประเมินตนเองในแง่ลบ ทำให้ไม่มีความสุข จึงควรหมั่นมองข้อดีในตนเอง
*  คำพูดมีพลังมหาศาล ส่งผลทั้งกับตนเองและคนรอบข้าง ให้เลือกใช้แต่คำพูดที่ดี เป็นบวก เท่านั้น
*  แม้ในสถานการณ์เดียวกัน เพียงเปลี่ยนคำพูด ความคิดของเราก็จะเปลี่ยนไป หรือในทางกลับกัน เพียงเปลี่ยนความคิด คำพูดก็จะเปลี่ยนไปได้ด้วย
*  ตระหนักอยู่เสมอว่า “เวลา” คือชีวิต และทุกคนมีเวลาจำกัด ให้ใช้เวลากับสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราอยากทำจริง ๆ เท่านั้น
*  คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนไม่เคยมีใครโอดครวญว่ามีเวลาไม่พอทั้งๆที่ทุกคนก็ยุ่งมาก ดังนั้นจึงต้องรู้ตัวให้ได้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดตอนนี้
*  ตื่นเร็วกว่าปัจจุบัน 30 นาที และใช้เวลานั้นอย่างเงียบๆอยู่กับตนเอง เช่น นั่งสมาธิ ชื่นชมอากาศยามเช้าตรู่
*  วางแผนอะไรแล้วลงมือทำทันที อย่าเสียเวลากับการวางแผนมากเกินไป
*  ควรลงทุนกับตนเอง เช่น อ่านหนังสือหรือฟัง audio book ให้มาก ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกอ่านอะไรดีให้คอยอ่านคอลัมน์แนะนำหนังสือ
*  ไม่ตั้งเป้าด้วยคำคลุมเครือ เช่น “จะพยายามเต็มที่” แต่ให้ระบุเป็นรูปธรรมลงไปเลยว่า “จะตั้งใจเรียนเพื่อสอบผ่านภาษาอังกฤษระดับสูงให้ได้” แล้วจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
*  “การเรียนรู้” ที่แท้จริง เริ่มต้นจากวันสำเร็จการศึกษา ขอให้ได้พบสิ่งที่ “ใช่” สักอย่างและเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจัง วิสัยทัศน์ก็จะกว้างขึ้น เป็นใบเบิกทางให้ชีวิตก้าวไปสู่เวทีใหม่ที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นแน่นอน
*  นำสิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้จริงๆไม่ใช่แค่อ่านหนังสือเฉยๆ
*  มีทัศนคติที่ดีกับเงินแต่ไม่ยึดติดกับมัน อย่ามองว่าเงินคือสิ่งที่ชั่วร้ายของคนละโมบ
*  ฝึกวิธีใช้เงินให้มีความสุข รับรู้คุณค่าของสิ่งที่ใช้ไปอย่างเต็มที่ด้วยความยินดี ไม่ใช่ใจแป้วทุกครั้ง
*  การเล่นหุ้นหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ย่อมมีการขาดทุนบ้าง แต่การลงทุนกับตนเอง (เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์) ถือว่าไร้ความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนสูงเสมอ
*  ลองตั้งเป้าจำกัดเวลากับตนเองแล้วพยายามอย่างเต็มที่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะถ้าทำได้แล้วในอนาคตเมื่อเจอเรื่องท้าทายต่างๆจะมีความเชื่อมั่นว่าทำได้
*  ลองถอยตนเองออกมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อใช้ชีวิตเงียบๆ ราศจากสมาร์ทโฟนบ้าง จะช่วยทำให้เราสามารถมองเห็นชีวิตในภาพรวมอย่างแท้จริงได้มากขึ้น (ผู้วิจารณ์ขอแนะนำให้ปลีกเวลาไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมค่ะ)
*  มีสติตระหนักรู้ว่า มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยากมีชีวิตอย่างไร การมีเป้าหมายที่ชัดเจนสำคัญอย่างยิ่ง
*  ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึก “ขอบคุณ” อยู่ตลอดเวลา เซลล์ต่างๆจำนวน 60,000 เซลล์ในร่างกายจะสามารถรับรู้ได้  แล้วจะกลายเป็นความทรงจำในจิตใต้สำนึก และหลายเป็นพลังแห่งความสุขในที่สุด
*  จิตใต้สำนึกมีพลังมหาศาล  และทุกคนก็มีพลังที่จะมีความสุขอยู่ภายใน  หากความคิดเปลี่ยน หัวใจเปลี่ยน พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนตามและนำไปสู่การเปลี่ยนชีวิตไปในทางทิศทางที่ต้องการได้แน่นอน
 หนังสือชื่อ “เปลี่ยนเป็นคนส่วนน้อยที่สำเร็จมากกว่าคนส่วนใหญ่”  แปลจาก 1% no hito dake ga jikkou shite iru 45 no shuukan  ของ Hiroyuki Inoue โดย ปาวัน การสมใจ  สำนักพิมพ์ส.ส.ท.  มีนาคม 2558  184 หน้า  ราคา 160 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-
พบกับหนังสือ ชื่อ “เปลี่ยนเป็นคนส่วนน้อยที่สำเร็จมากกว่าคนส่วนใหญ่” ทั้งในแบบรูปเล่มและe-book
ได้ที่ https://goo.gl/pY48UR

วัน ๆ ท่านต้องอ่านอะไรเยอะไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 93 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ใช้หัวอ่านเร็ว ฉบับลองลิ้มชิมรส” ค่ะ



=ภาพรวม=
ในยุคข้อมูลข่าวสาร ท่านผู้อ่านคงจะต้องอ่านอะไรเป็นจำนวนมากในแต่ละวันใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารการงาน, หนังสือที่อยากอ่านส่วนตัว ฯลฯ  ถ้าท่านเป็นเหมือนผู้วิจารณ์ก็คงจะอยากให้วันหนึ่งมีสัก 48 ชั่วโมง หรือไม่ก็คงจะดีไม่น้อยถ้าพวกเราสามารถอ่านสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น!
หนังสือเล่มเล็กจิ๋วนี้เป็นฉบับย่อของหนังสือชื่อเดียวกันเล่มเขื่องค่ะ  โดยในเล่มนี้จะยกตัวอย่างเทคนิคบางอย่างมาให้ท่านได้ลองฝึกและค้นพบว่าท่านสามารถอ่านได้เร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์  อ่านแล้วท่านจะอยากอ่านเล่มใหญ่ด้วยค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ผู้แต่งสามารถพัฒนาความเร็วในการอ่านของตนเองจาก 213 คำต่อนาทีตอนอายุ 14 ปี ด้วยการค้นคว้าพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ จนทุกวันนี้สามารถอ่านได้ที่ 1,000 คำ ต่อนาที (ภาษาอังกฤษ)
*  ตาและสมองคนเราสามารถรับคำได้มากถึง 6 คำต่อครั้งและ 24 คำต่อวินาที
*  ผู้ที่อ่านเร็วจะเข้าใจสิ่งที่สื่อออกมามากกว่าและมีสมาธิสูงกว่า
*  การใช้ตัวชี้ที่เรียวยาว เช่น ดินสอ หรือ ปากกา เป็นตัวนำสายตา และเคลื่อนมือให้เร็วขึ้น จะทำให้คนเราสามารถอ่านได้เร็วขึ้น
*  ผู้คนโดยเฉลี่ยจะสามารถอ่านได้อยู่ที่ 200-240 คำต่อนาทีในภาษาอังกฤษ และ 150-200 คำต่อนาทีในภาษาไทย
*  การถอยกลับ (regression) และ การขัดจังหวะการอ่านไปข้างหน้า (back-slipping) เป็นอุปสรรคในการอ่าน
*  การถอยกลับ คือ กระบวนการตั้งใจกลับมายังคำ ประโยค หรือ ย่อหน้า ที่ท่านรู้สึกว่าไม่เข้าใจ หรืออาจเข้าใจผิดไป
*  การขัดจังหวะการอ่านไปข้างหน้านั้นคล้ายคลึงกันแต่เป็นกระบวนการแบบไม่ตั้งใจที่จะกลับมาอ่านในสิ่งที่ท่านเพิ่งจะอ่านไปแล้ว
*  วิธีแก้ 2 ปัญหานี้คือ เพิ่มความเร็วในการอ่านและรักษาจังหวะในการอ่านให้สม่ำเสมอ
*  ตาของมนุษย์สามารถอ่านกวาดทีละ 2 บรรทัดหรือมากกว่านั้นได้!
*  หนึ่งในวิธีรักษาระดับสมาธิในการอ่านคือการให้สมองพักทุก 30-40 นาที เพื่อดูดซึมสิ่งที่ได้อ่านมา
*  การไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ดินสอ ถ้วยกาแฟ กระดาษจด แว่นตา ฯลฯ วางไว้ใกล้มือตี้งแต่แรกทำให้ท่านไขว้เขวและเสียจังหวะอีกทั้งแรงจูงใจในการอ่านได้
*  การขาดแรงจูงใจ หรือ การไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นอุปสรรคต่อการอ่าน
*  การอ่านกวาด (scanning) เป็นทักษะตามธรรมชาติ ใช้เวลามองหาข้อมูลเฉพาะส่วน
*  การอ่านผ่าน ๆ (skimming)  กระบวนการมองหาภาพโดยรวมของสิ่งที่ต้องอ่าน
*  การจัดท่านั่งให้ถูกต้องและการจัดแสงให้อ่านสบายมีส่วนสำคัญในการช่วยการอ่าน
*  การเพิ่มพูนคำศัพท์ที่ท่านรู้จักและเข้าใจการใช้ดีจะช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่าน (ในเล่มมีสอนคำ prefix, suffix และรากศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อที่จะช่วยให้ท่านอ่านภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้นเนื่องจากจะสามารถเดาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้ได้ทันที)
หนังสือชื่อ “ใช้หัวอ่านเร็ว ฉบับลองลิ้มชิมรส”  แปลจาก Buzan Bites Speed Reading ของ Tony Buzan โดย พัลลภา อิงบุญมีสกุล และ ธัญญา ผลอนันต์  สำนักพิมพ์ขวัญข้าว’94   กรกฎาคม 2551  93 หน้า  ราคา 120 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-
ติดตามหนังสือดีๆเล่มนี้ได้ที่ https://goo.gl/pQz96n

อายุมากขึ้นใช่ว่าจะต้องทุกข์เสมอไป!


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 89 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ชีวิตในปัจฉิมวัย” ค่ะ



=ภาพรวม=

หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดีๆนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม
เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2523 ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ชีวิตธรรมดาๆนั้น อยู่ไปๆ ก็แก่หง่อม แต่มีอีกหนึ่งความหมาย คือ ยิ่งอายุมาก ยิ่งเป็นหนุ่ม ยิ่งสดชื่น ไม่ทรุดโทรม  หมายความว่า ร่างกายมันก็แก่ไป แต่สติปัญญามันยิ่งหนุ่ม ยิ่งรู้มาก ยิ่งขจัดทุกข์ไปได้มาก
*  วันปรินิพพาน พระพุทธเจ้าซึ่งพระชนมายุ 80 พรรษาแล้วยังเดินทางไกลเป็นโยชน์อยู่ พอค่ำลงตอนหัวค่ำท่านก็นิพพานแบบปิดสวิทช์ไฟฟ้า ยังสดชื่นแจ่มใสอยู่ แล้วก็นิพพาน
*  ในสมัยโบราณเขานิยมคุณธรรมชนิดนี้กันเป็นสำคัญ  ไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ที่ไม่คิดจะตายอย่างมีศิลปะเหมือนคนโบราณ
*  มหาวิทยาลัยตามธรรมชาติในประวัติศาสตร์นั้นก็คือปากของคนแก่  เด็กๆหรือคนหนุ่มก็จะมานั่งล้อมฟังคนแก่เล่าเรื่องต่างๆ ห้ฟัง เขาจึงให้เกียรติคนแก่
*  เราจงใช้ประโยชน์จากคนแก่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็ควรเตรียมตัวสำหรับจะเป็นคนแก่ที่มีประโยชน์มากที่สุดด้วย
*  คนหนึ่งมีชีวิตเป็นการศึกษา อีกคนหนึ่งกินๆนอนๆเหมือนหมู  คนหนึ่งมีชีวิตเป็นการเป็นงาน อีกคนมีชีวิตเป็นการเล่นหัว คนหนึ่งชนะกิเลสฝ่ายต่ำอยู่ตลอดเวลา อีกคนแพ้อยู่ตลอดเวลา ลองเปรียบเทียบกันดูว่า ปัจฉิมวัยของสองคนนี้จะต่างกันอย่างไร
*  พูดได้อีกอย่างว่า คนหนึ่งจบปัจฉิมวัย ตายลงในกลางวัฏสงสาร อีกคนตายลงกลางพระนิพพาน
*  วัฏสงสาร แปลว่า หมุนเป็นวงกลม  มันหมุนอยู่ได้เพราะของสามสิ่ง คือ  1) ความอยาก  2) การกระทำตามความอยาก  และ 3) ผลจากการกระทำ  ทั้งหมดนั้นเป็นไปด้วยความโง่
*  ถ้าเป็นไปด้วยความโง่ มันก็เต็มไปด้วยทุกข์  แต่ถ้าทำไปด้วยสติปัญญา  มันก็ไม่เป็นวัฏสงสาร เดี๋ยวมันก็หยุดจบไปเอง
*  ความหยุดดับแห่งวัฏสงสาร หาพบที่ตัววัฏสงสาร  ปัญหาเกิดที่ไหนก็ต้องแก้ที่นั่น ปัญหาเกิดที่บ้าน ไปรดน้ำมนต์ที่วัดนี้ผิดหลัก
*  คนบางคนพอแก่แล้ว ร่างกายทนไม่ได้แล้ว ก็สมัครดับไม่เหลือ ไม่ต้องมีตัวกูอีกต่อไป  อย่างนี้ก็ยังชื่อว่าตายในนิพพาน โอกาสมีจนกระทั่งวาระสุดท้าย ฉะนั้น อย่าให้พลาดโอกาสนี้
*  สมมติถูกรถชนกลางถนน มันแหลกแล้ว จะไปหวังอะไรกันนัก  ก็ให้มีความคิดว่าดับไม่เหลือ  อย่าได้ไปดิ้นรนที่จะไม่ตาย ดิ้นรนไปโรงพยาบาล  พอกันทีการเวียนว่ายตายเกิด  อย่างนี้เราจึงมีโอกาสที่จะนิพพานได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต  นี่คือปัจฉิมวัยของชีวิตที่ดีที่สุด
*  ตามแบบโบราณจริงๆนี้ชีวิตเขาต้องจบอยู่ที่ประโยชน์ผู้อื่น เกิดมาทีหนึ่งก็ให้จบลงด้วยการทำประโยชน์ให้ผู้อื่น เหมือนพระพุทธเจ้า  เป็นยอดสุดของศิลปะแห่งการมีชีวิตและความตาย  งดงามที่สุด มีชีวิตอย่างนี้ ดับลงอย่างนี้
*  ขอให้เอาไปคิดดู เอาไปทำให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
 หนังสือชื่อ “ชีวิตในปัจฉิมวัย” โดย พุทธทาสภิกขุ  สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พฤษภาคม 2548   70 หน้า ราคา 35 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
 คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-

เชิญติดตามหนังสือ“ชีวิตในปัจฉิมวัย”ได้ที่ https://goo.gl/QhCwIk

ป่วยอย่างไร ได้นิพพาน?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 87 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้” ค่ะ




=ภาพรวม=
หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดี ๆ นี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม
เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้เมื่อ 1 กันยายน 2528 ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ธรรมะสำหรับคนเจ็บ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกมากมาย ถ้าสรุปใจความสำคัญรวมกันแล้วได้แค่คำว่า ตถตา – เป็นเช่นนั้นเอง
* ถ้าเห็นความเป็นเช่นนั้นเองก็จะไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไร เพราะรู้สึกว่าเป็นของธรรมดาตามธรรมชาติ
* แต่จิตมักปรุงแต่งไปว่า ตัวเราเป็นผู้ทุกข์ เป็นเจ้าของความทุกข์
* ควรมองให้เห็นว่า ความทุกข์เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ระบบประสาทมันสัมผัสและรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ตัวประสาทนั้นก็เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวเรา
* พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็จะหมดปัญหา นั่นก็คือ อาศัยพระองค์เป็นผู้ชี้ทางให้เห็นความไม่ใช่เป็นตัวเรา เรียกว่า อนัตตา
* พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งที่เหลือวิสัย เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยคนธรรมดาที่จะทำให้แจ่มแจ้งเกิดขึ้นในใจได้
* มักพูดตาม ๆ กันไปว่าเป็นผลของกรรมเก่าแล้วก็ทุกข์หนักท้อแท้ใจขึ้นไปอีกกว่าการเจ็บไข้ตามธรรมดา ถ้าได้ศึกษารู้เรื่องความไม่มีตัวตนแล้วก็จะพ้นจากอำนาจของกรรม
* ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้มีนัยที่ลึกขึ้นไปอีก คือ การรู้เรื่องดับไม่เหลือ คือ ไม่มีอะไรเหลือสำหรับจะไปเกิดใหม่กันอีก ถ้ามีเกิดก็ต้องมีแก่ เจ็บ ตายอีก ถามตัวเองดูว่ามันน่าเกิดไหม?
* ดับไม่เหลือมี 2 อย่าง คือ ตายแล้วดับไม่เหลือ กับอีกอย่างที่สำคัญกว่า คือ ดับไม่เหลือแห่งความรู้สึกว่ามีตัวตน ว่ามีของตน เรียกว่า ตายเสียก่อนตาย
* เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมาเมื่อไหร่
หนังสือชื่อ “จิตตภาวนาทุกรูปแบบ” โดย พุทธทาสภิกขุ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พฤษภาคม 2552 70 หน้า ราคา 35 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
——————————————————————-
เชิญติดตามหนังสือ ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ ได้ที่ https://goo.gl/8hpKPk

คนที่ประสบความสำเร็จสูงตั้งแต่อายุยังน้อยมีเคล็ดลับอะไรบ้าง?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 84 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “อายุน้อย รวย 100 ล้าน” ค่ะ




=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้คือรวมบทสัมภาษณ์ของเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตั้งแต่อายุยังน้อย 10 รายค่ะ โดยคัดมาจากที่เคยออกอากาศรายการ “อายุน้อย รวย 100 ล้าน” ทั้ง 10 รายที่คัดมานั้นมาจากธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ มีทั้งร้านก๋วยเตี๋ยวต่างจังหวัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าสุภาพสตรีแนววินเทจขายออนไลน์ ผู้ผลิตรองเท้าแฮนด์เมดส่งออกไปญี่ปุ่น ไปจนถึงนักคิดแอพพลิเคชั่นอ่านหนังสือออนไลน์ยอดนิยม
=โครงสร้างของเล่ม=
ในแต่ละบททางผู้เขียนซึ่งก็คือผู้ผลิตรายการจะมาสรุปเรื่องราวของบุคคลนั้นๆก่อน จากนั้นเป็นบทสัมภาษณ์ประวัติย่อของแต่ละคน, จุดสำคัญที่ทำให้ธุรกิจก้าวกระโดด และปิดท้ายด้วยวิธีเอาชนะอุปสรรคอันหนักหน่วงที่แต่ละคนต่างก็ประสบค่ะ ท้ายเล่มมีบทแถมเป็นบทสัมภาษณ์เจ้าของกิจการอายุน้อยที่ขยายกิจการไปยังกลุ่มประเทศเออีซี และบทปิดท้ายเป็นการรวมข้อคิดอีก 100 ข้อจากเจ้าของกิจการรายอื่นๆที่เคยได้ออกอากาศในรายการดังกล่าวด้วย
=ข้อสังเกต=
* 7 ใน 10 รายล้วนเริ่มต้นมาจากจุดที่ลำบากยากเข็ญอย่างถึงที่สุด หลายคนเริ่มจากศูนย์ บางคนเริ่มจากติดลบเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ “ความมุ่งมั่น ขยัน ไม่ย่อท้อ”
* แทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีแรงบันดาลใจที่จะ “ทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง” ไม่ว่าจะทำเพื่อพ่อแม่ อยากเห็นท่านสบาย ทำเพื่อภรรยาและลูก ทำเพื่อตอบแทนคุณประเทศชาติ หรือแม้แต่ทำเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* การสร้างที่มาที่ไปหรือใส่เรื่องราวให้กับสินค้า คือการเพิ่มจุดเด่นที่ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้มากขึ้น
* การทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องใหญ่ แม้จะเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ถ้าใส่ใจก็สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
* กว่าจะได้ชื่อเสียงมาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การรักษาชื่อเสียงไว้เป็นสิ่งที่ยากกว่าและจำเป็นอย่างยิ่ง
* ให้นำสิ่งรอบตัวมาปรับใช้กับธุรกิจเพื่อสร้างความแตกต่าง
* ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนในการทำธุรกิจ แล้ววิธีการสู่ความสำเร็จจะตามมา
* ต้องรู้จักคิดและหมั่นพัฒนาผลงานให้มีประสิทธิภาพสูง เพราะจะทำให้นักลงทุนสนใจร่วมธุรกิจ เป็นการต่อยอดไปสู่ความสำเร็จ
* ให้ทำธุรกิจแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เราได้กำไร ลูกค้าได้ประโยชน์ ธุรกิจจึงจะดำเนินไปด้วยดีและประสบความสำเร็จ
* ต้องเรียนรู้ให้ไว ศึกษางานนั้นให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
* สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจเกี่ยวกับงานฝีมือคือต้องมีความอดทน
* ถ้ามีโอกาสต้องทำให้ดีที่สุด เมื่อเจออุปสรรคต้องหาข้อบกพร่องและปรับเปลี่ยน
* การสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็นจะดึงดูดลูกค้าให้กลับมาหาเราอีก
* การใส่ใจในทุกรายละเอียด แม้จะเป็นจุดที่เล็กที่สุด เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
หนังสือชื่อ “อายุน้อย รวย 100 ล้าน” โดย Mushroom Television สำนักพิมพ์อมรินทร์ How-To พฤศจิกายน 2557 155 หน้า ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-
mjkoสามารถติดตามหนังสืออายุน้อยรวย 100 ล้าน ได้ที่ https://goo.gl/nUuAuE

ความสุขอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณรู้จักวิธีเข้าถึงมัน!


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 83 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือของท่านว.วชิรเมธี ชื่อ “ความสุขในกำมือ” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือขนาดพกพาสะดวกเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน และเราจะพัฒนาให้มีขึ้นได้อย่างไร โดยแบ่งเป็น 4 ภาค คือ  1) บันไดแห่งความสุข  2) ทำงานอย่างมีความสุข  3) วิชาแห่งความสุข  และ 4) มองโลกเป็นสุข มองทุกข์เป็นครู ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ทุกวันนี้ คนจำนวนมากพากันแสวงหาความสุขด้วยการสั่งสมทรัพย์สมบัติ ยศ อำนาจ บริวาร และชื่อเสียง  แต่จะมีสักกี่คนที่มีความสุขอย่างแท้จริงหลังจากได้ครอบครองสิ่งนั้น
*  ความสุขเป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันที่มีอยู่ในตัวเราแล้วตลอดเวลา เพียงมองเข้าภายในให้เป็นก็จะหามันเจอ
*  อย่ากลัวทุกข์หรือปัญหา เมื่อมันเกิดขึ้นให้ถือมันเป็นครู ใครคิดได้อย่างนี้จะได้กำไรจากทุกๆเรื่อง
*  เมื่อเราเปลี่ยนข้างนอกไม่ได้ ก็เปลี่ยนข้างในใจเรา หากมีวิธีคิดที่ถูกต้อง เรื่องลบๆก็มองเป็นดีได้
*  วิธีมองแง่ดีในสิ่งที่ลบ เรียกว่า อุปปาทกมนสิการ แปลว่า การคิดให้เกิดกุศล  ภาษาคนรุ่นใหม่คือ การมองเชิงบวก
*  บันไดของความสุข 4 ขั้น คือ  1) อย่าเอาทุกข์มาทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ บริโภคปัจจัยสี่ด้วยปัญญา  2)  แสวงหาสุขที่ชอบธรรม  3)  แม้สุขที่ชอบธรรมก็อย่าไปยึดติด  4) พัฒนาจิตให้ประณีตยิ่งขึ้น
*  สติเป็นเครื่องมือในการฝึกจิตที่สำคัญ มนุษย์จะมีความสุขอย่างที่สุดต่อเมื่อได้รับการฝึกจิตอย่างถึงที่สุด จิตที่ไม่ได้ฝึกเป็นศัตรูที่แท้จริงของเรา
*  สุขที่แท้ ที่เป็นไท คือจิตใจที่เป็นอิสระจากการครอบงำของกิเลส อันได้แก่ นิพพานสุข  อยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็จะสุขอยู่อย่างนั้น
*  มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะบรรลุภาวะพระนิพพานในชีวิตนี้ ดังนั้นควรจะเพียรพัฒนาชีวิตให้ก้าวไปใกล้พระนิพพานให้มากขึ้นๆ
*  คุณสมบัติของคนที่จะทำงานอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ คือ  1) มีใจรัก  2) พากเพียรธรรม  3) จดจำจ่อจิต  และ  4) วินิจวิจัย
*  ฌ็อง-โดมินิค โบบี ชาวฝรั่งเศส เส้นเลือดในสมองแตกทำให้เป็นอัมพาต ขยับได้แต่เปลือกตาซ้าย  มีความเพียรอย่างที่สุดสามารถเขียนหนังสือจนได้รับการตีพิมพ์ 1 เล่ม ด้วยการให้คนอ่านตัวอักษรให้ฟังทีละตัว ถ้าจะเลือกตัวอักษรใดก็กระพริบตา 1 ครั้ง
*  คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนคิดเชิงสร้างสรรค์ทั้งสิ้น คนส่วนใหญ่ไม่กล้าคิดต่างเพราะกลัว จึงทำให้ยากที่จะประสบความสำเร็จ
*  พระพุทธองค์ตรัสว่า “จิตเตนะ นียะติ โลโก – โลกหมุนไปตามความคิด” เราคิดอย่างไร เราก็จะได้คุณภาพชีวิตอย่างนั้น
*  ความทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นหรือเบาบางของอัตตา ใครที่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตามากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย  ไม่ยึดเลยก็ไม่ทุกข์
*  คนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องโลกธรรม 8 จะทุกข์ทรมานกับเรื่องธรรมดาๆของชีวิต วิธีที่จะทำให้เข้าใจโลกธรรมและมีความสุขทางใจก็คือ การปฏิบัติธรรม
*  การปฏิบัติธรรมมี 3 แบบ  1) การทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด  2) การฝึกจิตตภาวนาด้วยการเจริญสติ  และ 3) เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นธรรมะ
*  คนจำนวนมากไม่สนใจธรรมะเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ หรือเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา แท้ที่จริงธรรมะคือศิลปะในการดำเนินชีวิต เป็นเรื่องของเราแท้ๆ
*  คนมีธรรมะพลิกทุกข์ให้เป็นสุขได้หมด นี่คือยุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
หนังสือชื่อ “ความสุขในกำมือ” โดย ว.วชิรเมธี  สำนักพิมพ์ปราณพับลิชชิ่ง  พิมพ์ครั้งที่ 2  เมษายน 2557   144 หน้า ราคา 59 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-
เชิญติดตามหนังสือเล่มนี้ได้ที่ https://goo.gl/UjrjM5

อยากเรียนรู้วิธีการบริหารเวลาแบบมืออาชีพเกาหลีไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 82 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ใช้ “เวลา” มาสร้างความสำเร็จ” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือการ์ตูนสีสวยสดตลอดทั้งเล่มนี้เป็นหนังสือสำหรับคนทำงานโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน และคนที่รู้สึกว่าตนเอง “ไม่มีเวลาพอ” ทุกคนค่ะ ในเล่มแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ คือ  1) หลักบริหารเวลาขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานบริษัท  2) แผนปฏิบัติเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน  และ  3) ความประพฤติที่ดีช่วยประหยัดเวลาได้ค่ะ ถึงแม้คำแนะนำบางอย่างในเล่มดูเผินๆน่าจะเป็นสิ่งที่หลายท่านทำอยู่แล้ว แต่ก็มีการลงรายละเอียดแนะนำสิ่งที่ท่านทำอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นมืออาชีพมากขึ้นนะคะ มาลองดูกันค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  คนเรามี 24 ชม. เท่ากัน เวลาที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ และแต่ละคนอาจใช้เวลาหมดไปต่างกัน
*  ถ้าอยากมีผลงานที่เหนือกว่าคนอื่น ต้องใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
*  การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็เหมือนการลงทุน คนที่รู้จักลงทุนอย่างถูกวิธีจะสามารถได้กำไรมากกว่าคนอื่น
*  เราไม่สามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ถ้าเราไม่มีแผนที่ดีไว้ก่อน ทั้งหมดต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก  เมื่อเคยชินแล้วก็จะทำได้เองโดยอัตโนมัติ
*  ทางลัดของการบริหารเวลา  1) ใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น   2) จัดการงานต่างๆให้เร็วขึ้น
*  ถ้าอยากทำงานได้มากขึ้น ต้องมีความกระตือรือร้นและความขยัน ถ้าอยากทำงานได้เร็วขึ้นต้องมีความรู้และความสามารถ
*  ความรู้และความสามารถต้องใช้เวลาและประสบการณ์สะสม แต่ความกระตือรือร้นและความขยันสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ เราจึงควรมุ่งไปที่สองสิ่งนี้เป็นเครื่องมือบริหารเวลา
*  อย่าเพียงทำ รายการสิ่งที่ต้องทำ (To Do List) แต่เมื่องานเสร็จให้เขียนสรุปผลด้วยเอาไว้ศึกษาเพื่องานหน้าจะได้ทำได้ดีขึ้น
*  ต้องรู้จักเรียงลำดับความสำคัญของงาน และรู้จักการมอบหมายงานให้มีประสิทธิภาพ
*  ต้องเข้าใจเป้าหมายและความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี เพราะเมื่อต้องขอร้องให้ผู้อื่นช่วยทำงานจะได้ไม่มีปัญหา
*  ก่อนจัดการงานที่สำคัญ ควรทำงานเล็กๆน้อยๆที่สามารถเสร็จได้ใน 10 นาทีให้เสร็จก่อนจะได้ไม่กวนสมาธิ  (ตรงนี้หนังสือบริหารเวลาเล่มอื่นจะแนะต่างออกไปนะคะ คือให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าเพราะสมองยังมีพลังและมีสมาธิดีอยู่ค่ะ)
*  หา app จัดการนามบัตร (ในหนังสือแนะนำ app ชื่อ Biz Reader) เพื่อทำให้ลดเวลาลงและจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในภายหลัง
*  วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคือความคิดสร้างสรรค์ เพราะมันจะก่อให้เกิดพลังสมาธิและความมุ่งมั่น
*  ศัตรูของการบริหารเวลา คือ ความลังเลใจ
* ใช้ “เศษเวลา” ให้เกิดประโยชน์ ควรใช้เวลาในช่วงที่ขึ้นรถไฟฟ้า ช่วงที่รอคิวที่ธนาคารหรือโรงพยาบาลทำงานง่ายๆ ฆ่าเวลา หรือ คิดหาไอเดียใหม่ ๆ
*  ใช้ mindmap เรียบเรียงความคิดมากมายในหัวให้เป็นภาพเดียวกันเพื่อให้เห็นภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว
*  หลักพาเรโต การจัดโต๊ะทำงาน การใช้เวลาก่อนเลิกงาน 10 นาทีให้มีค่า การลดเวลาประชุม การจัดตารางประจำวัน และการจัดเอกสารให้ดีล้วนเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเวลา (ในเล่มจะมีเทคนิคบอก)
*  สิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในสังคมจริงๆ คือ “ความสามารถ” การบริหารเวลาได้ดีก็เรียกว่าเป็นหนึ่งในความสามารถ ถ้าบริหารเวลาเป็น ก็จะทำงานได้ดีขึ้นและได้รับความน่าเชื่อถือด้วย
*  การบริหารเวลาเป็นก็เหมือนเป็นการ “อัพเกรดตัวเอง” เพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
หนังสือชื่อ “ใช้ “เวลา” มาสร้างความสำเร็จ” โดย คิมจีฮยอน (เรื่อง) คิมแทควาน และ Headplay (ภาพ)  สำนักพิมพ์อมรินทร์ How-To กรกฎาคม 2556   232 หน้า ราคา 275 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
——————————————————————-
มาใช้เวลาเพื่อสร้างความสำเร็จ ได้ที่  https://goo.gl/YwwKVw