วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หนังสือแนว HOW-TO คิดบวกสไตล์เกาหลีเป็นอย่างไรนะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 216 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เสียงหัวเราะเรียกความโชคดี” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือแนวพัฒนาตนเองจากเกาหลีเล่มนี้เขียนโดย 2 ผู้อำนวยการร่วม “สถาบันวิจัยการหัวเราะ” ของเกาหลีค่ะ  แต่อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะกับชื่อสถาบันนะคะ  บรรดาลูกค้าที่มาเข้าคอร์สพัฒนาความสุขของที่นี่มีทั้งบริษัทซัมซุง ฮุนได แอลจี หรือแม้กระทั่วทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีทีเดียวค่ะ!
หนังสือเล่มนี้รวมเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ของผู้มาเข้าคอร์ส นิทานสอนใจ เรื่องราวจากประวัติศาสตร์ชาติต่าง ๆ ไปจนถึงผลวิจัยทางจิตวิทยาค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ซาฮิโตะ ฮิโตะริ  มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นที่จ่ายภาษีสูงที่สุดตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พูดถึงเคล็ดลับความสำเร็จของตนว่า ต้องมีความสุข มองโลกในแง่ดีเพราะจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง  และวิธีที่จะทำให้มีความสุขของเขาคือ “หัวเราะเข้าไว้”
*  ผลการสำรวจพบว่า คนที่มีอายุยืนถึง 100 ปีจะหัวเราะมากกว่าคนที่อายุยืน 80 ปีถึง 10 เท่า และมากกว่าคนที่มีอายุยืน 60 ปีถึง 12 เท่า
*  นักธุรกิจผู้พบว่าตนเองเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายค้นพบว่า การมอบความสุข ความสนุกให้กับลูกสาววัยมัธยมทั้งสองอย่างดีที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาคือมรดกที่ดีที่สุดที่เขาจะมอบให้ลูก ๆ ได้
*  ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า  ผู้ที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ “คนที่สามารถหัวเราะได้แม้กำลังเผชิญกับความยากลำบาก”
*  หนุ่มชาวเกาหลีคนหนึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ  หน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ แต่กลับสอบตกการสัมภาษณ์งานมากกว่า 20 ครั้ง  ในที่สุดเขาก็โทร.ไปถามกรรมการสัมภาษณ์คนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนพ่อของเขาถึงสาเหตุและได้คำตอบว่า “ความสามารถเธอดีกว่าคนอื่นก็จริง แต่หน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มเลย”
*  หม่าอี นักดูโหงวเฮ้งสมัยราชวงศ์ซ่ง กล่าวไว้ว่า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นใบหน้าที่เรียกโชคลาภและเงินทอง
*  วิเวียน ลีห์  นางเอกภาพยนต์เรื่อง วิมานลอย เดินทางไปไม่ทันการคัดตัวนักแสดงสำหรับเรื่องนี้  แต่เธอเลือกที่จะยิ้มหวานให้ผู้กำกับแทนทำหน้าเศร้าพร้อมเอ่ยขอลองเล่นดูสักครั้ง  รอยยิ้มของเธอทำให้ผู้กำกับตกตะลึงและขอให้เธอยิ้มแบบนั้นให้ดูอีกครั้ง  แล้วเธอก็ได้บทนั้นไปในที่สุดพร้อมกับคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปด้วย
*  เวลาเราหัวเราะ  สมองจะหลั่งฮอร์โมนลดความเจ็บปวดเหมือนมอร์ฟีน  และในปี 1996 ศ.นพ.ลี เบิร์ก ค้นพบว่า เมื่อคนเราหัวเราะเสียงดังจะมีปฏิกิริยาต่อเซลล์ NK (Natural Killer Cells) ที่ทำหน้าที่โจมตีเซลล์มะเร็งด้วย
*  ในวันหนึ่งเด็ก ๆ หัวเราะประมาณ 300 ครั้ง  ส่วนผู้ใหญ่เฉลี่ยเพียง 6 ครั้ง
*  ดร.พอล เอ็กแมน นักวิจัยด้านการแสดงสีหน้าพบว่า ถ้าเราแกล้งหัวเราะ กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาและใบหน้าจะขยับ ส่งผลให้ประสาทตื่นตัวและสมองเริ่มทำงานคล้ายกับเวลาที่เราหัวเราะจริง ๆ
*  ถ้ารู้สึกว่ากำลังท้อใจเมื่อไหร่ ให้รีบลบความรู้สึกนั้นทิ้งไปแล้วให้คิดถึงสิ่งที่ตัวเองถนัดและชอบที่สุดแทน
*  คุณยายชาวญี่ปุ่นสองคนยืนคุยกันหน้าภูเขาฟูจิ  คนหนึ่งบอกว่า “ฉันจะปีนขึ้นไปให้ได้” อีกคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเราอายุเกิน 60 แล้วนะ”  สิบปีต่อมา คุณยายคนแรกปีนได้สำเร็จ ส่วนคนหลังต้องนั่งวีลแชร์
*  ผู้ที่รอดชีวิตจากมะเร็งมาได้มีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายและทำให้มันเป็นจริง  คนที่มีเป้าหมายในชีวิต อุปสรรคไม่ใช่ความลำบาก แต่ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมาย ทุกอย่างคือความลำบาก
*  นพ. โจนาส ซอล์ก ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอซึ่งเป็นโรคระบาดสำเร็จในครั้งที่ 200  เขาไม่คิดว่าเขาล้มเหลวเลยสักครั้ง แต่ได้ค้นพบ 200 วิธีที่ไม่สามารถป้องกันโปลิโอ  และเมื่อค้นพบแล้วก็ไม่จดลิขสิทธิ์ทั้ง ๆ ที่จะทำให้เขาได้เงินเป็นจำนวนมาก  แต่เขาเลือกที่จะสอนวิธีทำให้ฟรีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
*  “ความไม่พอใจที่ว่าโลกใบนี้ไม่ยอมมอบความสุขให้แก่ตัวเรา คือ โรคเห็นแก่ตัว  คนประเภทนี้มีแต่ความคิดจะบริโภคความสุข แต่ไม่เคยคิดที่จะผลิตความสุข” – เบอร์นาร์ด ชอว์
*  นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดังคนหนึ่งกล่าวว่า ก่อนจะลงทุน เขาจะสังเกตสีหน้าของพนักงานบริษัทนั้น  ถ้าสีหน้าแจ่มใส เขาจะลงทุน ถ้าสีหน้าบูดบึ้ง เขาจะไม่ลงทุน  วิธีนี้ทำให้เขาลงทุนได้ถูกต้องเกือบ 100%
*  ผู้ป่วยมะเร็งที่คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่นอน มีเพียง 38% เท่านั้นที่รักษาหาย  ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองจะหายนั้นมีอัตราสูงถึง 70% ที่จะหายขาด  นี่คือผลลัพธ์แห่งพลังความคิด
*  “การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยเราคือความจริงที่ว่า มนุษย์คนหนึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้จากการเปลี่ยนทัศนคติของตนเอง” — วิลเลียม เจมส์  (ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ว่า “จิตฺเตน นียติ โลโก โลกหมุนไปตามความคิด  หรือ  โลกอันจิตย่อมนำไป”)
หนังสือชื่อ “เสียงหัวเราะเรียกความโชคดี”  โดย อีโยเซฟและเชซงฮวา แปลโดย วิทิยา จันทร์พันธ์ สำนักพิมพ์อมรินทร์ How-To  พิมพ์ครั้งที่ 4  กันยายน 2555   197 หน้า ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “เสียงหัวเราะเรียกความโชคดี” ได้ที่ https://goo.gl/ihSJ8I

อยากอ่านเกร็ดความรู้สั้น ๆ พร้อมภาพประกอบไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 215 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “แปลกแต่จริง เล่ม 4” โดย National Geographic Kids ค่ะ



=ภาพรวม=
ขึ้นชื่อว่า “National Geographic” ท่านผู้อ่านก็คงจะนึกออกใช่ไหมคะว่าทั้งภาพยนตร์สารคดีและนิตยสารของเขาล้วนมีภาพประกอบที่น่าตื่นตาตื่นใจ หาดูได้ยาก หนังสือเล่มนี้ก็เช่นกันค่ะ  เกร็ดความรู้เกี่ยวกับสัตว์โลก มนุษย์ จักรวาล ภาษา วัฒนธรรม และธรรมชาติทั้ง 300 เรื่องนั้นล้วนมีภาพประกอบที่น่าสนใจทั้งนั้น  และมีคำอธิบายทั้งภาษาไทยและอังกฤษค่ะ
อีกทั้งเกร็ดความรู้แต่ละเรื่องก็กระชับสั้น อ่านเพลินทั้งเด็กและผู้ใหญ่  เหมาะสำหรับเป็นการเปิดประเด็นการคุย การค้นคว้าเพิ่มเติมให้เด็ก ๆ ค่ะ  ใครจะรู้ คุณอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อยอยู่ที่บ้านก็ได้ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  มือของเรามีกระดูกอยู่ 26% ของกระดูกทั้งหมดในร่างกาย
*  ซูเปอร์มาร์เก็ตของชาวรัสเซียมีมันฝรั่งแผ่นรสคาเวียร์ขายด้วย
*  นกบินติดต่อกันได้นานที่สุดแปดวัน
*  มีแบคทีเรียราว 1.4 กิโลกรัมอาศัยอยู่ในท้องของเรา
*  การกระแอมตอนฉีดยาจะทำให้เจ็บน้อยลง
*  เลือด 1 จุด มีเม็ดเลือดแดงราว 5 ล้านเซลล์
*  เราแก้อาการเย็นขึ้นสมองได้ด้วยการเอาลิ้นดันเพดานปาก
*  หนังของเราหลุดลอกและงอกใหม่เดือนละครั้ง
*  นักพิมพ์ดีดที่เร็วที่สุดในโลกพิมพ์ได้ถึง 200 คำต่อนาที
*  พลังงานจากฟ้าแลบหนึ่งครั้งอาจใช้ปิ้งขนมปังได้ 100,000 แผ่น
*  กรดในกระเพาะอาหารละลายโลหะได้
*  สมองบางส่วนของไอน์สไตน์จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเมืองฟิลาเดลเฟีย
*  สมองไม่รู้สึกเจ็บปวด
*  การใส่แว่นกันแดดฉาบสีฟ้าอาจทำให้เราหิวน้อยลง
*  ฝุ่นในบ้านส่วนใหญ่คือผิวหนังที่ตายแล้ว
*  การเดินใช้กล้ามเนื้อถึง 200 มัด
*  มีเว็บเพจราวหนึ่งล้านล้านเว็บเพจในอินเทอร์เน็ตหรือประมาณ 140 เพจต่อคนบนโลกหนึ่งคน
*  หัวใจของเราสูบฉีดเลือดหนึ่งวันได้มากพอเติมอ่างอาบน้ำได้ 40 อ่าง
*  เราเป็นหวัดได้มากกว่า 600 ครั้งทั้งชีวิต
*  มีคนอาศัยอยู่ในย่านใจกลางเมืองของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มากกว่าอาศัยอยู่ในประเทศแคนาดาทั้งหมดอีก
*  เด็กทารกกะพริบตาเพียงครั้งหรือสองครั้งต่อนาที  ส่วนผู่ใหญ่กะพริบตา 10-15 ครั้งต่อนาที
หนังสือชื่อ “แปลกแต่จริง 4” โดย National Geographic Kids แปลโดย สิทธิพร ยะศะนพ  สำนักพิมพ์อมรินทร์คอมมิกส์  พฤษภาคม 2558   200 หน้า ราคา 185 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “แปลกแต่จริง เล่ม 4” ได้ที่ https://goo.gl/9gsZCM

อยากได้หลัก “HOW-TO” ในการตัดสินใจจากพระพุทธเจ้าไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 214 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “หลักตัดสินปัญหาชีวิต” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดี ๆ นี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม
เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2514 ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ในการที่จะเลือกหลักอะไรมาตัดสินปัญหาของชีวิตนั้นอย่าลืมไหว้ครูเสียก่อน  การไหว้ครูไม่ใช่เรื่องงมงาย  มันเป็นเทคนิคที่จะรวบรวมมาซึ่งสติ ซึ่งกำลังใจ  เราจึงเห็นคนโบราณเขาจะทำอะไรเขายกมือไหว้ สอนสืบ ๆ กันมา  แม้แต่จะขึ้นต้นไม้ก็ยกมือไหว้
*  ความมุ่งหมายอันแท้จริงก็เพื่อสำรวมสติ สำรวมใจคอให้ปกติ ให้มีสติสัมปชัญญะ มีใจคอที่มั่นคง แล้วก็ขึ้นไป  มันพลาดได้น้อย  ความลับมันอยู่ที่นี่
*  ในการตัดสินปัญหาตามแนวพุทธศาสนา  ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อ ก็ใช้กาลามสูตร  ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ใช้โคตมีสูตร  ปัญหาเกี่ยวกับความกำกวมของสิ่งที่แปลกใหม่ในทางระเบียบปฏิบัติ ใช้มหาปเทสในพระวินัย
*  กาลามสูตรเกิดจากชาวกาลามะถามพระพุทธเจ้าว่าจะเชื่อใครดี จะเชื่ออะไรดี?  พระพุทธเจ้าก็ตรัสหลักเกณฑ์นี้ออกมาให้
*  ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการได้ยินได้ฟังมา  หลักมีอยู่ว่า  1) อย่าเชื่อเพราะได้ฟังตาม ๆ กันมา  2) อย่าเชื่อเพราะว่าเขากำลังพูดกันอยู่กระฉ่อน  3) อย่าเชื่อเพราะว่าเขาทำสืบ ๆ กันมาโดยทางการกระทำอย่างนี้ ๆ  และ  4) อย่าเชื่อเพราะว่ามันมีอยู่ในตำรา
*  ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง  หลักมีอยู่ว่า  1) อย่าเชื่อด้วยเหตุผลของตรรกะ  2) อย่าเชื่อด้วยเหตุผลทางปรัชญา  3) อย่าเชื่อด้วยการตรึกตามอาการ ได้แก่สามัญสำนึก  และ  4) อย่าเชื่อเพราะมันทนต่อความคิดเห็นของเรา
*  หลักเรื่องพิจารณาความเชื่ออีก 2 ข้อสุดท้ายคือ  1) อย่าเชื่อเพราะว่าผู้นี้พูดน่าเชื่อ  และ  2) อย่าเชื่อด้วยเหตุว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา   แล้วให้เชื่ออะไร?  ให้เชื่อประสบการณ์ตรงของตนเอง
*  หลักเกณฑ์จากโคตมีสูตรที่จะใช้ตัดสินปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติ ทั้งการปฏิบัติงานทุกอย่างในชีวิตประจำวันตลอดไปถึงการปฏิบัติธรรม  มี 8 หัวข้อ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่ไม่ควรทำ และฝ่ายที่ควรทำ  ได้แก่สิ่งนั้น ๆ
1) ทำให้เกิดความกำหนดย้อมใจ เกิดความยึดมั่นถือมั่นหรือไม่  2) ทำให้เกิดความทุกข์หรือไม่  3) สะสมกิเลสหรือไม่  4) เป็นไปเพื่ออยากใหญ่หรือไม่  5) เป็นไปเพื่อความสันโดษหรือไม่  6) คลุกคลีกันเป็นหมู่หรือไม่  7)  เกียจคร้านหรือไม่  และ  8) เลี้ยงยากหรือไม่
*  หลักมหาปเทสทางพระวินัย เป็นหลักพื้นฐานที่จะตัดสินเรื่องเกี่ยวกับของแปลกใหม่ที่เพิ่งมีมา  ได้แก่  1) สิ่งใดไม่มีบัญญัติไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร  ให้ดูว่า ถ้าสิ่งนั้นเข้ากันได้กับสิ่งที่บัญญัติไว้ว่าไม่ควร ก็จัดว่าเป็นสิ่งไม่ควร  แต่ถ้าเข้ากันได้กับสิ่งที่บัญญัติไว้ว่าควร ก็จัดไว้กับพวกที่ควร
2) สิ่งใดที่ไม่ได้อนุญาตไว้ว่าควร  ให้ดูว่า ถ้าสิ่งนี้เข้าได้กับพวกไม่ควร ก็ให้ถือว่าไม่ควร  ถ้าเข้ากันได้กับสิ่งที่ควร ก็ให้ถือว่าสิ่งมาใหม่นี้ควร หรือ ทำได้
*  หลักมหาปเทสทางฝ่ายสุตตันตะ มีว่า  1) แม้ว่าจะได้รับฟังไปจากพระพุทธเจ้าเอง 2) แม้จะรับฟังมาจากคณะสงฆ์ 3) รับฟังมาจากคณะพระเถระผู้เป็นพหูสูต และ 4) รับฟังมาจากพระเถระองค์หนึ่ง
ทั้งหมดนี้ก็อย่าเพิ่งถือว่าถูกหรือรับเอาทันที  ให้ไปหยั่งดูในพระสูตรและเทียบดูในพระวินัยก่อน  ถ้าลงกันได้ไม่ขัดกันค่อยรับเอา
หนังสือชื่อ “หลักตัดสินปัญหาชีวิต” โดย พุทธทาสภิกขุ  สำนักพิมพ์สุขภาพใจ  มกราคม 2553   60 หน้า ราคา 25 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “หลักตัดสินปัญหาชีวิต” ได้ที่ https://goo.gl/0lUExp

อยากทราบเคล็ดลับความสำเร็จของ บิลล์ เกตส์ ไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 212 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “อัจฉริยะคอมพิวเตอร์ บิลล์ เกตส์” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้อยู่ในซีรี่ส์การ์ตูนประวัติบุคคลสำคัญค่ะ  นอกจากการเล่าเรื่องด้วยการ์ตูนสีสันสวยงามเข้าใจง่ายแล้ว  ตอนท้ายของแต่ละบทยังมีบทความสั้น ๆ ให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยค่ะ
อ่านแล้วท่านจะได้รับแรงบันดาลใจอย่างมาก ได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของผู้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูง  เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ดช. บิลล์ เกตส์ ได้อิทธิพลด้านรักการอ่านจากบิดา  เขาชอบอ่านหนังสืออย่างมากตั้งแต่เด็ก  อ่านสารานุกรมและชีวประวัติบุคคลสำคัญ  ทุกวันนี้แม้งานยุ่งแค่ไหนเขาก็ยังอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง และอ่านในวันหยุดถึงวันละ 3 ชั่วโมง
*  บิลล์ เกตส์ น้อย ประทับใจคำพูดของนโปเลียนที่ว่า “คำว่าเป็นไปไม่ได้ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของข้า” มากที่สุด
*  ถ้าบิลล์ เกตส์ สนใจอะไร เขาจะทุ่มเทกับเรื่องนั้นอย่างมากตั้งแต่เด็ก  เขาเคยทุ่มเทกับการอ่านหนังสือความรู้ทั่วไปจนการเรียนภาคปกติแย่ลงจนกระทั่งคุณแม่ต้องพาไปพบจิตแพทย์
*  แต่จิตแพทย์พบว่าบิลล์ไม่มีปัญหาใด ๆ อีกทั้งยังมีอัจฉริยภาพ จึงแนะนำแม่เขาว่า อย่าสอนให้เขาทำเหมือนคนอื่น แต่ให้เขาทำตามความสามารถที่มีอยู่จะดีกว่า
*  บิลล์ เกตส์ สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก  และมีวิสัยทัศน์ว่าคอมพิวเตอร์(ซึ่งสมัยนั้นมีขนาดเท่าห้องขนาดใหญ่)จะเล็กและถูกลง และจะถูกวางอยู่บนโต๊ะทำงานของทุก ๆ คน
*  แม้จะพบอุปสรรคมากมาย เช่น ห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนถูกปิดลงเพราะไม่มีงบประมาณ  บิลล์ เกตส์ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ยังมุ่งมั่นอ่านหนังสือด้านคอมพิวเตอร์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  และพยายามหาโอกาสไปทำงานกับบริษัทที่มีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ชื่อ C-Cubed
*  ตอนอายุ 16 ปี บิลล์ เกตส์ เคยถูกจับติดคุกเพราะไปทำระบบคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยในรัฐของเขาพัง  เหตุการณ์นี้กระทบกระเทือนใจเขาอย่างมาก  จึงทำให้เขาเบนเข็มมาตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัย
*  บิลล์ เกตส์ สามารถตั้งบริษัทพัฒนาระบบวิเคราะห์สถิติการจราจรได้สำเร็จตั้งแต่ยังอยู่มัธยม  ทำให้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ
*  จุดเปลี่ยนของบิลล์ เกตส์ คือเมื่อเขาอยู่ปี 1 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาสามารถพัฒนาโปรแกรมภาษาเบสิกที่ใช้กับคอมพิวเตอร์อัลแตร์สำเร็จ  เป็นก้าวกระโดดของวงการซอฟท์แวร์และช่วยเปิดเส้นทางของการพัฒนาโปรแกรมบัญชีและสถิติ และเป็นรากฐานการก่อตั้งไมโครซอฟท์
*  ปี 1985 บิลล์ เกตส์ ประกาศว่าวินโดวส์เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการคอมพิวเตอร์  ทันทีที่วินโดวส์ประสบความสำเร็จ เขาก็เปิดขายหุ้นตามแผนที่วางไว้  หุ้น 21 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นถึง 90 ดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด
*  ตั้งแต่ปี 1996 บิลล์ เกตส์ ได้เริ่มบริจาคเงินช่วยเหลือผู้คน บริจาคคอมพิวเตอร์ให้ห้องสมุด  ฯลฯ
*  เคล็ดลับความสำเร็จของไมโครซอฟท์คือ
1)  พนักงานทุกคนรวมทั้งบิลล์ เกตส์ ด้วย ตั้งใจทำงานอย่างหนัก  ในขณะที่เวลางานเฉลี่ยของบริษัททั่วไปอยู่ที่สัปดาห์ละ 40 ชม. แต่ที่ไมโครซอฟท์อยู่ที่ 80 ชม.  แต่ถ้าเหนื่อยก็สามารถพักผ่อนตอนไหนก็ได้ตามใจ
2)  ให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถสูง  ทุกปีพนักงานที่ความสามารถไม่ถึงเกณฑ์การประเมินจะถูกเลิกจ้าง
3)  บิลล์ เกตส์ มีนิสัยประหยัดเวลามาก
4)  เมื่อถึงเวลาพัก  พนักงานของไมโครซอฟท์ก็จะพักผ่อนกันเต็มที่  บิลล์ เกตส์ สร้างสนามกีฬาที่มีทั้งสนามฟุตบอล สนามเบสบอล และลู่วิ่งให้พนักงาน
*  บิลล์ เกตส์ตั้งเป้าที่จะบริจาค 95% ของทรัพย์สินของเขาทั้งหมดให้การกุศลก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
หนังสือชื่อ “อัจฉริยะคอมพิวเตอร์ บิลล์ เกตส์” เขียนโดย Choi Duk Hee ภาพโดย Kang Gyung Hyo แปลโดย วิทยา จันทร์วิรัตนชัย  การ์ตูนความรู้นานมีบุ๊คส์  มีนาคม 2553   176 หน้า ราคา 135 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “อัจฉริยะคอมพิวเตอร์ บิลล์ เกตส์” ได้ที่ https://goo.gl/tr9N26

อยากอ่านหนังสือพัฒนาตนเองจากเยอรมันไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 210 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ชีวิตงาน สนุ้ก สนุก”  ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มเล็กนี้นำเสนอวิธีปฏิวัติการทำงานและสร้างดุลยภาพให้กับชีวิตในสไตล์เยอรมันค่ะ  เมื่อพูดถึงคนเยอรมันเราก็มักนึกถึงคนที่มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง ตรงไปตรงมา และความมีประสิทธิภาพใช่ไหมคะ  หนังสือเล่มนี้คือภาพสะท้อน “ความเป็นเยอรมัน” อย่างที่ว่านั่นเองค่ะ
ในเล่มแบ่งเป็น 5 ภาคค่ะ  คือ  1) สนุกกับงานให้มากขึ้น  2) วิธีการจัดโต๊ะทำงาน  3) จัดระบบงานและชีวิตให้สมดุล  4) เอาชนะ “โรคเลื่อน” และ  5) วิธีทำงานร่วมกันผู้อื่นให้ดีที่สุด
=จุดเด่น=
จุดเด่นของเล่มนี้คือการแบ่งหมวดหมู่และแจกแจง “วิธีทำ” ต่าง ๆ เป็นข้อ ๆ ค่ะ  ซึ่งท่านที่ชอบหนังสือแนว how-to ที่สอนอะไรแบบเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อมคงจะชอบเล่มนี้   แต่ผู้วิจารณ์อ่านแล้วรู้สึก “เหนื่อย” นิดหน่อยค่ะเพราะรู้สึกว่าผู้เขียนท่านแบ่งยิบย่อยเกินไป  อ่านแล้วรู้สึกตาลายเล็กน้อยค่ะ @_@
จุดเด่นอีกข้อคือเรื่องการจัดโต๊ะทำงานค่ะ  ระยะนี้เรามีกระแส “จัดบ้าน” จากหนังสือ Bestseller ของญี่ปุ่นโดย คอนโด มาริเอะ กันอยู่พอดี  แต่ในเล่มนั้นไม่ได้แนะนำวิธีจัดโต๊ะทำงานมากนัก  ถ้าท่านอ่านเล่มนั้นประกอบกับเล่มนี้แล้วมาประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์ของท่านเองก็น่าจะเป็นประโยชน์นะคะ
=ตัวอย่างจากในเล่ม=
*  จงรักในสิ่งที่คุณทำ  เลิกมองหาที่ทำงานที่สมบูรณ์แบบแต่จงสร้างมันขึ้นด้วยตัวคุณเอง
*  ความสุขในการทำงานเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้โดย  1) กำหนดทัศนคติของคุณ  2) สนุกกับการทำงาน  3) ส่งต่อความสุขให้ผู้อื่น  4) อยู่กับปัจจุบัน  5) เชี่อมั่นในผลลัพธ์  6) ตั้งชื่อให้โครงการของคุณ  7) เปลี่ยนลำดับความสำคัญ  8) เอาใจใส่ความสวยงาม  และ  9) ส่งงานตรงเวลา
*  ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพและมีความสุขคือ “สมุดบันทึกความสำเร็จประจำวัน”  ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด  ควรเขียนด้วยมือ  รู้สึกยินดีกับความสำเร็จในแต่ละวัน  บันทึกความสุขและสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ลงไป
*  โต๊ะทำงานที่ทรงพลัง หมายถึง โต๊ะที่ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำงาน  และการใช้เวลาอย่างชาญฉลาดนี้เองจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพ
*  ถ้าโต๊ะทำงานมีของมากเกินไปมันจะทำลายสมาธิของคุณ
*  หลายคนลงมือจัดระเบียบโต๊ะทำงานไม่ได้สักทีเพราะมัวแต่จินตนาการถึงโต๊ะทำงานที่สมบูรณ์แบบเกินไป  จึงคำนวณเวลาที่ใช้สูงตามไปด้วย  นักจัดระเบียบมืออาชีพคำนวณว่า  สำนักงานที่ไม่เคยจัดระเบียบเลยกว่า 2 ปี ใช้เวลาทำความสะอาดอย่างมากที่สุดไม่เกิน 2 วัน!
*  การทำงานให้เสร็จนั้นใช้พลังน้อยกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดไว้มาก  แต่การตัดสินใจว่าต้องทำอะไรก่อนหลังนั้นกลับต้องใช้พลังงานมหาศาล
*  อย่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน  ก่อนทำงานสำคัญ ควรกวาดงานที่ต้องทำอื่น ๆ ออกไปให้พ้นสายตาและสร้างพื้นที่ทำงานที่เปิดโล่งขึ้น  สูดหายใจลึก ๆ  ผ่อนคลายแขนและไหล่ แล้วลงมือทำงานสำคัญอย่างเต็มที่  บางทีการเปลี่ยนสถานที่ก็ช่วยคุณได้
*  การนั่งทำงานทั้งวันอาจทำให้กล้ามเนื้อขาหมดแรง  การไหลเวียนของเลือดติดขัด  ลิ้นหัวใจที่เปรียบเสมือนวาล์วจึงปิดไม่สนิท ส่งผลให้รู้สึกหมดแรง  ควรยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในระหว่างวันบ้าง (ในเล่มมีตัวอย่าง)
*  ปัจจุบันการสื่อสารเป็นตัวกำหนดงานแทบทุกด้าน ไม่ว่าการเขียนรายงานหรืออีเมล  ภาษาท่าทางหรือคำพูด  การติดต่อปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า  จำไว้ว่า “คนสื่อสารได้ดีย่อมชนะเสมอ”  (ในเล่มมีแนะนำวิธีการสื่อสารแบบต่าง ๆ)
*  “…วิธีการในเล่มนี้ช่วยให้คุณมีชีวิตงานที่สนุกได้จริง  แต่ไม่ได้เห็นผลวันนี้พรุ่งนี้  จึงขอให้เดินบนเส้นทางสู่เป้าหมายด้วยความใจเย็นและร่าเริง…”
หนังสือชื่อ “ชีวิตงาน สนุ้ก สนุก” โดย Marion & Werner Tiki Kustenmacher แปลโดย เจนจิรา เสรีโยธิน สำนักพิมพ์ Inspire  พิมพ์ครั้งที่ 1  ตุลาคม 2556  104 หน้า  ราคา 95 บาท  ซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำและเว็บไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ชีวิตงาน สนุ้ก สนุก”   ทั้งในแบบรูปเล่ม และ e-book ได้ที่ https://goo.gl/VBA9BF

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากเล่าเรื่อง “กำเนิดโลก” และ “ยุคไดโนเสาร์” แบบสนุก ๆ ให้ลุกหลานฟังไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 207 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เอาชีวิตรอดพิพิธภัณฑ์มหันตภัย 1”  ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือการ์ตูนที่สลับเป็นระยะๆด้วยบทความสั้นๆในหัวข้อที่เกี่ยวข้องพร้อมภาพถ่ายจริงนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์การ์ตูนความรู้วิทยาศาสตร์ “เอาชีวิตรอดใน…(สถานที่ต่าง ๆ)”จากประเทศเกาหลีที่อ่านได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กประถมจนถึงผู้ใหญ่ค่ะเล่มนี้เป็นเรื่องราวของเด็กๆ 3 คน ที่ไปชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแล้วอยู่ๆก็พบว่าตนเองหลุดเข้าไปในสถานการณ์จำลองการกำเนิดของโลกไปจนถึงยุคไดโนเสาร์ค่ะ
ท่านจะสนุกไปกับการที่เด็กๆต้องประยุกต์ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ธรรมชาติเพื่อเอาตัวรอดจากการผจญภัยในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (museum of natural history) เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์กับทั้งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการสร้างจิตสำนึกให้มนุษย์รู้จักรักษาธรรมชาติมากขึ้น
*  โลกกำเนิดขึ้นเมื่อราว 4,600 ล้านปีมาแล้ว และเริ่มมีสิ่งมีชีวิตต่างๆอาศัยอยู่เมื่อ 3,600 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินพัฒนามาเป็นสิ่งมีชีวิตในยุคต่างๆเช่น ไดโนเสาร์ จนมาถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
*  ซากดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล หมายถึง ซากของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนั้น ที่ถูกทับถมและฝังตัวอยู่ในชั้นหินตะกอนเป็นเวลานานสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมในอดีตและช่วยให้นักธรณีวิทยาคาดคะเนอายุของชั้นหินได้ด้วย
*  ถ้าซากดึกดำบรรพ์ได้รับความดันและความร้อนสูงเป็นเวลานานจะกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่สำคัญ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ
*  ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันมากที่สุดคือ ทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่ หรือ บิ๊กแบง ที่กล่าวว่า เมื่อ 15,000 ล้านปีก่อน วัตถุขนาดเล็กอัดกันแน่นจนร้อนและมีความหนาแน่นสูง ทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาล
*  การระเบิดดังกล่าวทำให้กลุ่มมวลสารถูกเหวี่ยงออกแล้วรวมตัวกัน เรียกว่า กาแล็กซี่ หรือ ดาราจักร กาแล็กซี่ที่เราอาศัยอยู่เรียกว่า กาแล็กซี่ทางช้างเผือก
*  ในช่วงมหายุคพาลีโอโซอิก หรือ 570 ล้านปี ถึง 225 ล้านปีก่อน เริ่มมีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นตั้งแต่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ปลา สัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก และสัตว์เลื้อยคลาน ในช่วงปลายยุคเริ่มปรากฏพืชจำพวกมอสส์และเฟิร์น รวมทั้งป่าไม้ขนาดใหญ่
*  มหายุคมีโซโซอิก หรือช่วง 225 ล้านปีถึง 65 ล้านปีก่อน เป็นยุคของไดโนเสาร์
*  ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (T-Rex) เมื่อโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 12-15 เมตรและหนักถึง 6 ตัน จัดว่ามีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่น
*  ไดโนเสาร์ที่กินพืชจะมีโครงสร้างของร่างกายที่สามารถใช้ป้องกันตัวจากไดโนเสาร์กินเนื้อได้ เช่น หางที่แข็งแรง หนัก และแหลมคม หรือ เขาและนอคล้ายแรด
*  มีผู้ขุดพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์คนแรกที่เคยอาศัยอยู่ในแอฟริกาเมื่อประมาณ 4 ล้านปีก่อน ตอนแรกยังไม่ยอมรับว่าเป็นมนุษย์ และถูกเรียกว่า ลิงแห่งแอฟริกาใต้
*  โฮโม อีเร็กตัส หรือ มนุษย์ตัวตรง ปรากฏขึ้นเมื่อ 1.8 ล้านปีก่อน เริ่มใช้ภาษาสื่อสารได้ มีเครื่องมือเครื่องใช้มากขึ้น รู้จักใช้ไฟและป้องกันตัวจากสัตว์ใหญ่ได้
*  โฮโม เซเปียนส์ หมายถึง มนุษย์ที่มีสติปัญญา จัดเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ยุคปัจจุบัน เริ่มปรากฏบนโลกเมื่อประมาณ 400,000 ปีก่อน เริ่มทำเสื้อผ้าจากหนังสัตว์ ทำเครื่องมือที่ทันสมัยจากไม้และหิน อีกทั้งยังเริ่มมีวัฒนธรรมต่างๆเกิดขึ้นอีกด้วย
หนังสือชื่อ “เอาชีวิตรอดพิพิธภัณฑ์มหันตภัย 1” เขียนโดย Gomdori co. ภาพประกอบโดย Han Hyun-Dong แปลโดย ศุภลักษณ์ อาศิรพจน์มนตรี สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น มีนาคม 2556  208 หน้า  ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “เอาชีวิตรอดพิพิธภัณฑ์มหันตภัย 1”  ได้ที่ https://goo.gl/b8D7S5

เบื้องหลังความสำเร็จของมหาเศรษฐีอันดับ 1 จีนเป็นอย่างไร?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 206 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “แจ็ค หม่า พญามังกรแห่งอาณาจักร Alibaba” ค่ะ



=ใครคือ แจ็ค หม่า?=
ท่านเคยคิดจะซื้อหุ้นในกิจการของแจ็ค หม่า ไหมคะ? ในเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว (2557) แจ็ค หม่า ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน และอันดับ 18 ของโลก ในขณะที่เขียนรีวิวนี้หุ้นของบริษัทพาณิชย์อีเล็คทรอนิกส์ อาลีบาบา ของ แจ็ค หม่า กำลังร่วงไม่เป็นท่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จีน ท่านอาจจะสงสัยว่าแจ็ค หม่า จะมีศักยภาพนำทัพชนะศึกครั้งนี้หรือไม่ หนังสือเล่มนี้น่าจะมีคำตอบให้ค่ะ
=จุดเด่นที่ต่างจากหนังสือชีวประวัติเล่มอื่น=
แน่นอนว่า ระดับแจ็ค หม่า นั้น ย่อมมีคนเขียนชีวประวัติของเขาออกมาหลายเล่มด้วยกัน แต่จุดเด่นของเล่มนี้อยู่ที่ผู้แต่งคือ เฉินเหว่ย นั้นเป็นผู้ช่วยคนสนิทของแจ็ค หม่าที่แจ็ค หม่าเองถึงกับชมไว้ในคำนิยมว่า “สามารถจดจำเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจน” นอกจากนี้ เฉินเหว่ยยังรู้จักแจ็ค หม่า มาตั้งแต่เขายังเป็นครูสอนภาษาอังกฤษจนๆ อยู่ เพราะเฉินเหว่ยเองเคยเป็นลูกศิษย์ค่ะ
=ไม่ใช่ how-to สำเร็จรูป=
สำหรับท่านนักอ่านหนังสือแนว how-to พัฒนาตนเองที่อาจจะคุ้นเคยกับรูปเล่มขนาดย่อมกะทัดรัด การหยิบหนังสือเล่มหนาอย่างนี้ขึ้นมาก็คงจะทำให้ท่านท้อไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าท่านคิดว่าจะได้หนังสือ how-to สำเร็จรูปที่อธิบายถึงเคล็ดลับความสำเร็จของแจ็ค หม่า เป็นข้อๆท่านอาจจะผิดหวังได้ค่ะ แต่ในความหนาที่น่าท้อของหนังสือนี้มีขุมทรัพย์รอท่านอยู่ค่ะ ถ้าท่านอดทนอ่านไปจนจบ ท่านก็จะได้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอและวิสัยทัศน์ของแจ็ค หม่า อย่างละเอียด แน่นอนว่าถ้าท่าน“ถอดรหัส”ความสำเร็จนั้นได้ ท่านก็น่าจะนำไปพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศต่อไปได้เช่นกัน
=อุปนิสัยแห่งผู้นำ=
แจ็ค หม่า นั้นฉายแวว “ไม่ธรรมดา” ตั้งแต่ตอนเป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ชื่อเสียงเขาลือลั่นไปทั่ววงการสอนเมืองหางโจวเพราะเขา”มีความคิดสร้างสรรค์”ในการทำให้ชั้นเรียนมีชีวิตชีวา และนักเรียนได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษพร้อมได้ขบคิดเรื่องสำคัญในชีวิตไปพร้อมๆกัน อุปนิสัยอีกอย่างที่ชนะใจผู้คนมาตั้งแต่เขาเป็นครูก็คือ เขาเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนดีเยี่ยมค่ะ เอาใจใส่ดูแลลูกศิษย์เป็นอย่างดีทั้งในและนอกห้องเรียน จำชื่อลูกที่เพิ่งคลอดของลูกศิษย์ได้และพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้คนที่เขารู้จักด้วยการชวนมาร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะทานข้าว ดื่มชา เล่นหมากรุก ฯลฯ  อยู่เสมอ
=สายตาเหยี่ยว=
นอกจากความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการชนะใจคนรอบข้างสร้างเครือข่ายที่ดีแล้ว เขายังมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมราวกับเหยี่ยว ในขณะที่คนจีนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักอินเทอร์เน็ทด้วยซ้ำ แต่แจ็ค หม่ารู้แล้วว่าพาณิชย์อีเล็คทรอนิกส์คืออนาคต เรียกได้ว่าเขาเป็นคนแรกของจีนที่กระโดดเข้าสู่ world wide web ในเชิงธุรกิจก็ว่าได้
=ความใฝ่รู้และหมั่นพัฒนาตนเอง=
แจ็ค หม่า ชอบอ่านหนังสือมาก เวลาเขาเดินทางเขาจะพกหนังสือไป 2-3 เล่มอยู่เสมอ แต่เล่มเดียวที่พกติดตัวตลอดคือคัมภีร์เต๋า ตี้ จิง ที่เขามักหยิบออกมาอ่านและตีความบ่อยๆ ถึงแม้เขาจะทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน เดินทางตลอดปีเพื่อทำธุรกิจทั้งทั่วประเทศจีนและทั่วโลก แต่เขาก็มักจะปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรมที่วัดพุทธ วัดเต๋า ครั้งละหลายวัน และเรียนไทจิอยู่เสมอ การปลีกวิเวกเพื่อฝึกสมาธินั้นจริงจังถึงขั้นปิดวาจา เฉินเหว่ยผู้แต่งกล่าวว่าแจ็ค หม่า มักจะได้ไอเดียธุรกิจดีๆจากการปลีกวิเวกเช่นนี้ แจ็ค หม่าให้ความสำคัญกับเรื่องความสงบของจิตใจมากถึงขนาดว่าเวลาจะคุยธุรกิจครั้งสำคัญๆกับผู้ประกอบการชั้นแนวหน้าของจีน เขาก็จะนัดคุยกันที่ระเบียงวัดบนภูเขาด้วยซ้ำ
=สรุป=
ไม่เพียงแต่ท่านจะได้รู้จักแง่มุมอันลึกซึ้งของแจ็ค หม่า ผ่านปลายปากกาของลูกสมุนคนสนิทผู้เป็นเงาตามตัวของเขาเท่านั้น ท่านจะได้ฟังเกร็ดเรื่องราวของผู้คนระดับโลกที่แจ็ค หม่าได้ไปสัมผัสด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ็ท ลี หรือ จอร์จ โซรอส ท้ายเล่มเฉินเหว่ยแถมบทความภายในองค์กรที่แจ็ค หม่า เขียนถึงพนักงานอาลีบาบาในโอกาสสำคัญต่างๆให้อีกด้วยหลายบทความ ตรงนี้นี่เองที่ท่านจะได้เห็นความเป็น “มังกรผงาดฟ้า” ของแจ็ค หม่าอย่างแท้จริงจากปากของเขาเองทั้งแจ็ค หม่า และ เฉินเหว่ยผู้แต่งนั้นชื่นชอบเรื่องราวกำลังภายในอย่างมาก ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีกลิ่นอายของสำนวนกำลังภายในตลอดจนความรู้เรื่องประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมจีนสอดแทรกอยู่ด้วยตลอดเล่ม อ่านแล้วท่านจะรู้สึกว่าได้อ่านประวัติของจอมยุทธที่โชกโชนคนหนึ่ง แต่จอมยุทธคนนี้ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะครองแค่ “ยุทธภพ” แต่เล็งเป้าหมายที่จะครอง “พิภพ” (โลก) ทีเดียว  เขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
แม้ฟ้าดินมิอาจล่วงรู้  ท่านต้องลองอ่านดูเอง!
หนังสือชื่อ “แจ็ค หม่า  พญามังกรแห่งอาณาจักร Alibaba” โดย เฉินเหว่ย แปลโดย ปฏิพล ตั้งจักรวรานนท์ สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์  พิมพ์ครั้งที่ 3   มีนาคม 2558   292 หน้า ราคา 250 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “แจ็ค หม่า  พญามังกรแห่งอาณาจักร Alibaba” ทั้งในแบบรูปเล่มและ
e-book ได้ที่ https://goo.gl/aLJ1b0

ทราบไหมคะว่าประธานาธิบดีลิงคอล์นมีวัยเด็กที่ยากลำบากมาก?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 204 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “อับราฮัม ลิงคอล์น  ประธานาธิบดีผู้สร้างความเท่าเทียมบนแผ่นดินอเมริกา” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้อยู่ในซีรี่ส์การ์ตูนบุคคลสำคัญของโลกค่ะ นอกจากการเล่าเรื่องด้วยการ์ตูนสีสันสวยงามเข้าใจง่ายแล้ว  ตอนท้ายของแต่ละบทยังมีบทความสั้นๆให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยค่ะ อ่านแล้วท่านจะได้รับแรงบันดาลใจอย่างมาก ได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของผู้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูง และเรียนรู้ความสำคัญของคุณธรรมอีกด้วย เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่จริงๆค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  อับราฮัม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกามีชีวิตวัยเด็กที่ลำบากกว่าพวกเราส่วนใหญ่มาก เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหนักตั้งแต่เด็กจนกระทั่งไม่ได้เรียนหนังสือ และอายุเพียง 9 ปีแม่ที่เขาผูกพันด้วยอย่างมากก็จากไป
*  แต่ลิงคอล์นรักการอ่าน แม้จะไม่มีเงินซื้อหนังสือเขาก็ใช้วิธียืมจากเพื่อนบ้าน และถึงกับเดินไปต่างหมู่บ้านเพื่อยืมหนังสือ เขาอ่านหนังสือทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
*  แม่ของลิงคอล์นปลูกฝังความศรัทธาในศาสนาให้กับลิงคอล์นตั้งแต่เล็กโดยการเล่าเรื่องต่างๆจากคัมภีร์ไบเบิ้ลให้เขาฟังก่อนนอน นอกจากนี้ท่านยังปลูกฝังความซื่อสัตย์จริงใจจนฝังรากลึกในใจลิงคอล์นด้วย
*  เมื่อทำงานเป็นเสมียนในร้านค้า เขามีชื่อเสียงในด้านความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนน้อม และความมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น
*  ครั้งหนึ่งในการเดินทางไปค้าขายต่างเมืองกับนายจ้าง เขาได้เห็นตลาดค้าทาสซึ่งทำให้เขาสะเทือนใจมาก เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะทำให้ทาสทั้งหมดได้รับอิสรภาพ
*  หลังจากลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐอิลลินอยส์ ลิงคอล์นได้เริ่มเรียนกฎหมายอย่างจริงจัง สอบเป็นทนายความได้ และชอบว่าความให้คนจนผู้เดือดร้อน
*  ลิงคอล์นเคยแพ้การเลือกตั้งถึง7 สมัยติดต่อกัน แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปโดยยึดมั่นในปณิธานที่จะเลิกทาสให้ได้
*  ในที่สุดลิงคอล์นก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ความเห็นเรื่องเลิกทาสของเขาทำให้รัฐทางเหนือกับรัฐทางใต้แตกแยกกันจนเกิดสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อหลายปีและมีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน
*  ในที่สุดรัฐทางเหนือฝ่ายลิงคอล์นก็ชนะ ลิงคอล์นประกาศเลิกทาสในวันที่1 มกราคม ค.ศ. 1863 และให้อภัยกับรัฐทางใต้ ลิงคอล์นไปเยี่ยมทหารบาดเจ็บเสมอ และอาสาเขียนจม.ถึงครอบครัวพวกเขาให้ด้วยตนเอง
*  สงครามยุติได้ไม่นาน ลิงคอล์นก็ถูกลอบสังหารโดยคนจากรัฐทางใต้ผู้โกรธแค้นที่ลิงคอล์นเลิกทาส
*  นอกจากวลีอมตะ “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” แล้ว ลิงคอล์นยังได้กล่าวสุนทรพจน์ที่น่าประทับใจอื่นๆอีกมากมาย  เช่น
“…หากเราคิดว่าสุข ใจเราก็สุข เพียงแค่เรามองโลกในแง่ดี เราก็จะสามารถหาความสุขจากสิ่งเล็กน้อยได้ ดังนั้นความสุขจึงอยู่ที่ความคิดของเราเองเท่านั้น…”
“…ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้อย่างสุดความสามารถ  และข้าพเจ้าจะทำแบบนี้ตลอดไป…”
หนังสือชื่อ “อับราฮัม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีผู้สร้างความเท่าเทียมบนแผ่นดินอเมริกา” โดย Studio Chung Bi แปลโดย วลี จิตจำรัสรัตน์  การ์ตูนความรู้นานมีบุ๊คส์  พฤษภาคม 2553   192 หน้า ราคา 145 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “อับราฮัม ลิงคอล์น  ประธานาธิบดีผู้สร้างความเท่าเทียมบนแผ่นดินอเมริกา” ได้ที่ https://goo.gl/l4pvdd

อยากอ่านหนังสือภาพสนุก ๆ เกี่ยวกับอังกฤษไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 202 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เกรต บริเตน: ทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือรวมเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจประกอบภาพถ่ายสีสวยสดทั้งเล่มนี้เป็นหนังสือจาก Lonely Planet ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกด้านคู่มือนำเที่ยว เรื่องราวที่เลือกมาเขียนเป็นหัวข้อที่น่าสนใจต่างๆเกี่ยวกับอังกฤษ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่หาอ่านไม่ได้ในคู่มือนำเที่ยวทั่วไป แฝงไปด้วยอารมณ์ขัน อ่านได้ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  อังกฤษเป็นดินแดนที่มีชื่อสถานที่ เช่น เมือง ถนน หมู่บ้าน ที่ฟังดูตลกๆมากมาย เช่น หมู่บ้าน Lost (ที่แปลว่าหลงทางหรือหายสาบสูญ) ถนนฮา-ฮา ในกรีนิช  หรือเมืองแซนด์วิชที่ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านที่ชื่อแฮม แน่นอนว่าป้ายบอกทางเขียนว่าทางไป “แฮม แซนด์วิช”!
*  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวรัสเซียขนานนามวินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า “บริติช บูลด๊อก” เพราะวิญญาณนักสู้บ้าบิ่นของเขา…หารู้ไม่ว่าเขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์พูเดิ้ล!
*  สกอตแลนยาร์ดไม่ได้อยู่ในประเทศสกอตแลนด์ แต่เป็นชื่อสำนักงานใหญ่ของกองกำลังตำรวจนครบาลลอนดอน  ชื่อนี้ได้มาเพราะอาคารเดิมเคยเป็นสถานที่รับรองแขกคนสำคัญจากสกอตแลนด์
*  การกินพายมินซ์ในวันคริสต์มาสถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
*  ชาวอังกฤษเล่นฟุตบอลมาหลายศตวรรษแล้ว แต่เพิ่งจะตกลงใช้กติกาเดียวกันเพื่อให้สามารถแข่งขันข้ามถิ่นได้เมื่อปี ค.ศ. 1863
*  แกงเผ็ด (curry) ที่มีที่มาจากอินเดียและปากีสถานเป็นที่นิยมในอังกฤษมานานแล้ว โดยปรากฏในเมนูของชาวอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อค.ศ. 1773
*  ประเพณีการจิบชายามบ่ายเกิดขึ้นเมื่อดัชเชสที่ 7 แห่งเบดฟอร์ดบ่นว่า ตอนบ่ายแก่ๆรู้สึก “ไม่ค่อยกระชุ่มกระชวย” เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะในยุคดังกล่าวผู้คนมักรับประทานแค่อาหารเช้าและเย็นเท่านั้น
*  หนึ่งในมารยาทการดื่มชาของอังกฤษคือ อย่าใช้นิ้วเกี่ยวหูจับถ้วยชา (ในเล่มมีมารยาท 6 ข้อ)
*  กอล์ฟถือกำเนิดขึ้นในสกอตแลนด์มากว่า 250 ปีแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถแมรีแห่งสกอตทรงเป็นสตรีคนแรกที่เล่นกอล์ฟอย่างสม่ำเสมอเมื่อครั้งยังทรงประทับอยู่ในฝรั่งเศส นายทหารมหาดเล็กฝึกหัด หรือ “cadet” เป็นผู้ถือไม้กอล์ฟให้  จึงเป็นที่มาของคำว่า “caddie”
*  บรรดาคาถาภาษาละตินจากหนังสือชุดแฮรี่ พอตเตอร์ ทำให้การเรียนภาษาละตินบูมขึ้นมาอย่างมากในเกาะอังกฤษ  โดยมีจำนวนโรงเรียนที่เปิดสอนวิชาภาษาละตินเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า
*  อังกฤษมีนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ เป็นผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์เจมส์ ไดสัน นักประดิษฐ์ผู้คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นสมัยใหม่ โดยไดสันใช้เวลาถึง 5 ปีและสร้างต้นแบบถึง 5,127 เครื่องก่อนจะทำสำเร็จในที่สุด
หนังสือชื่อ “เกรต บริเตน: ทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้” โดย จานีน สก็อตต์ และ ปีเตอร์ รีส์  แปลโดย ลลิตา ผลผลา  สำนักพิมพ์Amarin Comics  มกราคม 2558   96 หน้า ราคา 225 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “เกรต บริเตน: ทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้” ได้ที่ https://goo.gl/0WKLBw

วันนี้คุณวุ่นหรือว่าว่างมากกว่ากันคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 200 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ไม่วุ่นจะว่าง” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดีๆนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม
เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้เมื่อวันมาฆบูชา 12 กุมภาพันธ์ 2503 ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  วันมาฆบูชานี้เป็นวันที่ระลึกถึงพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง จึงเลือกเอาพระพุทธภาษิตที่กล่าวถึงสุญญตา คือ ความว่าง มาแสดง
*  ยิ่งเป็นปุถุชนเท่าใด ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นปุถุชนนี้แหละยิ่งต้องการธรรมะที่เป็นเครื่องดับทุกข์ของพระอรหันต์มากเท่านั้น
*  ลองพิจารณาดูเอาเถิดว่า ความว่างนี้มันสำคัญอย่างไร ใครๆก็ชอบเวลาว่าง เวลาที่ทำงานยุ่งไม่มีใครชอบ เวลาว่างงานทุกคนก็ชอบ หรือเวลาที่ว่างไม่มีอะไรกวน ทุกคนย่อมจะชอบ
*  แต่เมื่อมีใครมาชวนไปวัดไปฟังเทศน์เพื่อศึกษาเรื่องความว่าง คือ พระนิพพานแล้ว กลับตอบว่าไม่ว่าง อย่างนี้นับว่าหลอกตัวเอง
*  มีพระพุทธภาษิตว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ แปลว่า นิพพานเป็นของว่างอย่างยิ่งแปลว่า ถ้าเราว่างถึงที่สุด นั่นแหละ คือ นิพพาน
*  มีพระพุทธภาษิตอีกคู่หนึ่งว่า สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา, นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ คือ สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง คือ มันวุ่นนั่นเอง ส่วนนิพพานหรือความดับเย็นสนิท เป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนั้น ความว่างจึงเป็นสุขอย่างยิ่ง
*  เรื่องของความว่างนี้เป็นตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธศาสนา อยู่ในพระคาถาที่พระพุทธองค์แสดงแก่ธัมมทินนะอุบาสก จะเห็นว่าทรงแสดงเรื่องความว่างนี้ให้ฆราวาสฟัง ไม่ได้แสดงให้พระที่อยู่ป่าฟัง ดังนั้นความว่างจึงเป็นเรื่องที่ฆราวาสควรจะรู้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของพระอย่างเดียว
*  การที่ไปวุ่นวายจนไม่มีเวลามาหาธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งสอนเรื่องความว่าง ไม่มีเวลาประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กลายเป็นวุ่นถึงที่สุดจนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป แล้วมันจะได้อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้เล่า
* ลองคิดดูเถิดว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในโลกมนุษย์เรา มันทำให้ว่างหรือทำให้วุ่น? คนที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ย่อมมองเห็นความวุ่นเหล่านี้ว่ามีตัวตน เว้นแต่เมื่อใดมีสติสมบูรณ์ทุกเมื่อจึงจะเห็นโลกโดยความเป็นของว่างได้
*  ถ้ามีตัวตน ความทุกข์ก็ครอบงำได้ แต่ถ้าสลัดตนไปเสียให้เป็นของว่างแล้ว ความทุกข์มันจะครอบงำใคร
*  ถ้าลงได้ชอบใจในคุณของความว่างแล้ว  พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า บุคคลนั้นจะหลุดพ้นได้ด้วยปัญญาในชาติปัจจุบันนี้ คือเป็นพระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุตติได้ในชาตินี้  หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ คือ ความเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น  ความทุกข์ครอบงำไม่ได้
*  พระพุทธองค์เคยตรัสไว้กับพระสารีบุตรว่า การเป็นอยู่ด้วยความว่างทำให้มีผิวพรรณผ่องใส
*  ถ้าจะมองสิ่งใดให้มองเห็นทั้งคุณและโทษของสิ่งนั้น  จะได้หักลบกลบกันพอดี จะได้เป็นของว่างขึ้นมา  สิ่งใดที่ท่านเก็บไว้ในหีบหวงแหนนักหนานั้น ก็จงดูมันดีๆว่ามันมีทั้งคุณและโทษ  ก็จะหยุดรัก หยุดหวงแหน หยุดวิตกกังวลเสียได้  จิตใจมันจะได้ว่าง
หนังสือชื่อ “ไม่วุ่นจะว่าง” โดย พุทธทาสภิกขุ  สำนักพิมพ์สุขภาพใจ  กุมภาพันธ์ 2551   60 หน้า ราคา 30 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
(ที่มา: http://goo.gl/qH2arZ และ http://goo.gl/2Ue7S3)
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ไม่วุ่นจะว่าง” ได้ที่ https://goo.gl/JTJqvW