งานแบบไหนบ้างนะที่หุ่นยนต์จะมาแย่งเราทำไม่ได้?
คำตอบอาจมีหลายคำตอบ
แต่ครูเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือ “งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์” ค่ะ
คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถพัฒนาเสริมสร้างพลังความคิดสร้างสรรค์ของเราให้แข็งแกร่งขึ้น
หัวหน้าแผนกพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรซัมซุงจากประเทศเกาหลีมีเคล็ดลับจะมาบอกคุณ
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้ที่ทำหน้าที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรของซัมซุงมากว่า
20 ปี และระหว่างนั้นก็เคยได้รับรางวัล “ครูดีเด่น” จากกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีด้วย
หนังสือขนาดกะทัดรัดพกไปอ่านสะดวก
และสามารถอ่านได้รวดเดียวจบอย่างเพลิดเพลินนี้ไม่ได้สอนวิธีพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียว
แต่ยังสอนทัศนคติที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จทั้งในงานที่คุณทำให้องค์กร
และสำหรับผู้ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเองด้วย
ในเล่มมีตัวอย่างโฆษณาที่ประสบความสำเร็จในเชิงความคิดสร้างสรรค์ทั้งของเกาหลีและของประเทศต่าง
ๆ ในโลกจำนวนมากมาย ซึ่งคุณสามารถตามไปชมประกอบได้ในยูทูป
เหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาตนเองโดยรวมค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ไมเคิล พอร์เตอร์ กูรูด้านการบริหารธุรกิจ
กล่าวว่า “ในศตวรรษที่
๒๑ ไม่มีธุรกิจไหนจะเป็นที่ ๑ ได้ตลอดไป
มีแต่ธุรกิจที่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ”
ซึ่งหมายความว่า
องค์กรที่มีความสร้างสรรค์เท่านั้นที่จะรอดได้
*
คุณสมบัติสำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในวงการธุรกิจคือต้องมี 4Cs ได้แก่
1. Compassion มีความรู้สึกร่วมไปกับลูกค้า
ไอเดียต้องตรงใจลูกค้า ใช้ประโยชน์ได้จริง
ไม่ใช่แค่มีความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว
2. Conception เข้าใจภาพรวมทั้งหมด
เพราะจะช่วยให้เสนอทางเลือกที่หลากหลายได้
3. Controversy ต้องสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนกับคนที่คิดต่างได้อย่างสร้างสรรค์
4. Commitment มีความมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับงาน
*
แรงผลักดันที่จะทำให้สิ่งที่ยากแสนยากกลายเป็นจริงได้ คือ ทัศนคติเชิงบวก (positive attitude) หรือ
การคิดบวก
* การคิดบวก
เป็นข้อแตกต่างพื้นฐานระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว
คนที่คิดบวกจะเชื่อมั่นว่าตนทำได้และจะลุกขึ้นมาทุกครั้งที่ล้ม
*
ในการคิดสร้างสรรค์อะไรขึ้นมานั้นต้องเจอความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเป็นธรรมดา
ดังนั้น ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือ “การคิดบวก”
* คำว่า “เป็นไปไม่ได้” เป็นแค่ข้อแก้ตัวของคนอ่อนแอ
เป็นแค่เรื่องชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นตลอดกาล
* คนที่จะมีพลังในการคิดบวกไม่สิ้นสุด
คือคนที่เชื่อมั่นในตนเอง
* Dove เคยทำแคมเปญโฆษณาเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองให้ผู้หญิง
เพราะจากการสำรวจพบว่า มีผู้หญิงเพียง 4% เท่านั้นที่คิดว่าตนเองสวย
Dove จึงใช้วิธีให้ผู้หญิงมานั่งอธิบายหน้าตาของตนเองให้กับนักสเก็ตช์ภาพของ
FBI วาด
โดยนักสเก็ตช์ภาพจะไม่เห็นหน้าเธอ
วันต่อมา Dove จะให้บุคคลที่สามมานั่งอธิบายหน้าของผู้หญิงคนนั้นให้นักสเก็ตช์ภาพคนเดิมวาด
ผลที่ออกมาคือ
ผู้หญิงส่วนใหญ่จะบรรยายลักษณะตนเองในแง่ลบ ในขณะที่ผู้อื่นมองเห็นความงามในตัวเธอ
(และจากภาพประกอบเรื่อง
ภาพของคนคนนั้นในสายตาคนอื่นจะออกมาสวยกว่าภาพที่เจ้าตัวบรรยายตนเอง
และเหมือนตัวจริงกว่าด้วย!)
Dove ทำให้ผู้คนที่ดูโฆษณาชุดนี้ฉุกคิดได้ว่า
“ความงามที่แท้จริง
คือ การมองให้เห็นสิ่งที่งดงาม”
ฅ
ความสนุกมีบทบาทสำคัญในการเรียกความมั่นใจในตนเองกลับมา
เสียงหัวเราะคือเครื่องมือพลิกชีวิตที่ทรงพลังที่สุด
1. การหัวเราะช่วยเรื่องระบบเผาผลาญและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
การเต้นหัวใจปกติ และลดอาการความดันสูง
2. การหัวเราะช่วยให้เซลล์ NK ซึ่งมีหน้าที่กำจัดเซลล์ผิดปกติในร่างกายเจริญเติบโตดี
(ช่วยฆ่ามะเร็ง)
3. การหัวเราะทำให้กล้ามเนื้อถึง 231 มัดจาก
650 มัดในร่างกายได้ออกกำลังกายคล้ายการเต้นแอโรบิคส์
ถึงแม้ลินคอล์นจะมีชีวิตวัยเด็กและวัยหนุ่มที่ยากลำบากและล้มเหลวจนถึงอายุ
50 แต่เขาก็ยังยิ้มสู้เสมอ เขาเคยกล่าวว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่โดยไม่หัวเราะ
ผมคงตายไปนานแล้ว
*
ประเทศเกาหลีเองก็เคยจัดแคมเปญเกี่ยวกับการคิดบวกและการมองโลกในแง่ดี โดยรัฐบาลเกาหลีทำขึ้นในปี
2005 และฮุนไดกรุ๊ปทำในปี 2007
โดยรัฐบาลเกาหลีได้ทำแคมเปญเปรียบเทียบให้เห็นว่าการมองโลกในแง่ดีและแง่ร้ายว่ามีผลต่างกันอย่างไร
เช่น รัฐบาลเกาหลียกตัวอย่างวิธีคิดของ CEO บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งที่เคยล้มเหลวว่า
ในสถานการณ์เดียวกันเราอาจคิดว่า “ถ้าเริ่มใหม่ตอนนี้ก็สายไปแล้ว” หรือคิดว่า
“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีกตลอดกาล” ก็ได้
ส่วนฮุนไดกรุ๊ปยกตัวอย่างว่า
เวลาที่เรามองภาพของปิกัสโซ่ เราอาจเกิดความคิดว่า “เหมือนภาพเด็กเล่น” หรือ
“เป็นการทดลองสิ่งใหม่” ก็ได้
* ลองดูตัวเลขต่อไปนี้แล้วลองเดาว่าคืออะไร
เอดิสัน 1,093 ฟรอยด์ 650 บาค 1,080 ปิกัสโซ่
2,00 โมสาร์ท 600 ไอน์สไตน์ 248 เชกสเปียร์ 154
ทั้งหมดนี้คือจำนวนสิ่งประดิษฐ์หรือผลงานของคนเหล่านี้
เราจำผลงานของเขาได้เพียงไม่กี่ชิ้น
นั่นหมายความว่า
เบื้องหลังความสำเร็จของเขาเขาต้องทุ่มเททำงานด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า (Passion) อย่างไม่หยุดนิ่ง
* ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานของเราก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำแล้ว งานอาจจะ “เสร็จ” แต่ไม่มีวัน “ประสบความสำเร็จ”
*
เงื่อนไขอันดับแรกของการสร้างความกระตือรือร้นคือการมองหาสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญในงานและ
“ลงมือทำ”
ทุกหน้าที่มีคุณค่า มีความสำคัญ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหามันเจอหรือเปล่า ลองถามตัวเองว่า “ทุกวันนี้คุณทำอะไรอยู่
และทำไปทำไม”
ถ้าตอบไม่ได้ คุณจะทำงานอย่างเฉื่อยชา
ส่งผลเสียทั้งกับตัวคุณเองและองค์กร
* อีกประการหนึ่งคือ
เราต้องวาดภาพความสำเร็จของเราให้ชัด
เพราะพอรู้ว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว
เราก็จะกระตือรือร้นที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเอง
* คนเป็นเจ้าของกิจการจะเต็มใจทำงานที่ลำบากได้
แต่ลูกจ้างจะฝืนใจทำ เจ้าของจะอดทนต่อความลำบากวันนี้เพื่อพรุ่งนี้
ลูกจ้างหนีเมื่อเจองานลำบาก เจ้าของมองไปถึงวันพรุ่งนี้ ลูกจ้างมองแค่วันนี้
ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นคนที่กระตือรือร้นเสมอ
เราต้องสวมวิญญาณของเจ้าของบริษัท
* วอร์เรน บัฟเฟตต์
นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเองก็ยังบอกว่า “การทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของ” เป็นเคล็ดลับความสำเร็จของตัวเขาเหมือนกัน
* กฎ Ringelmann Effect ระบุว่า ถ้าเรามีความรู้สึกว่า “งานนี้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว” เราจะทุ่ม
100% แต่ถ้ายิ่งเพิ่มจำนวนคนทำงานมากเท่าไหร่ คนก็จะออกแรงทุ่มเทน้อยลงไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น
* ประธานจูยอง ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ฮุนได
มักจะพูดเสมอว่า “ผมไปทำงานทุกวันด้วยความรู้สึกเหมือนจะไปปิกนิก
เต็มไปด้วยความสนุกและความหวัง เหมือนกับจะไปเที่ยวเล่น ไม่ใช่ไปทำงาน”
* บิล เกตส์ เคยพูดคล้ายกันว่า “ผมมีอาชีพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก
แล้วเวลาไปทำงานจะไม่สนุกได้ยังไง ที่นั่นมีการเรียนรู้ โอกาส และการท้าทายใหม่ ๆ
กำลังรอผมอยู่เสมอ”
สิ่งที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันคือ “จิตวิญญาณการเป็นเจ้าของ”
* โคโนสุเกะ มัตซึชิตะ ผู้ก่อตั้ง Panasonic ผู้ได้ชื่อว่าเป็น
“เทพเจ้าแห่งการบริหาร” ที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ย่ำแย่จากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เริ่มต้นด้วยความยากลำบากรอบด้าน
แต่นั่นคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเขา ทั้ง 3
ข้อได้แก่
1) เพราะเกิดมายากจนข้นแค้น เขาจึงรู้ว่า “ถ้าไม่ขยันทำงาน
ก็ไม่มีทางอยู่ดีกินดีได้”
2) เพราะเกิดมาร่างกายอ่อนแอ เขาจึงรู้ว่า “สุขภาพที่ดีมีค่าแค่ไหน” จึงดูแลร่างกายอย่างดีจนมีอายุยืนกว่า
90 ปี
3) เพราะต้องออกจากโรงเรียนกลางคันตอนป. 4
ทำให้เขาต้อง “ขวนขวายเรียนรู้” โดยยึดทุกอย่างเป็นครู
มัตซึชิตะมักจะขอบคุณความโชคร้ายนั้นและมองโลกในแง่ดีเสมอ
* การจดบันทึกประจำวัน
และจดไอเดียทันทีที่ผุดขึ้นมาจนเป็นนิสัย
เป็นหนึ่งในเคล็ดลับของผู้ที่ประสบความสำเร็จ เช่น แจ็ค เวลช์ ผู้สร้าง General Electric จนประสบความสำเร็จระดับโลก
และ โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้เปลี่ยนโลก
* จงฝึกจดบันทึกเสมอไม่ว่าจะที่ไหนและเมื่อไหร่
จงสังเกตคนรอบข้างแล้วจดบันทึก จงจัดบันทึกแล้วเอากลับมาดูใหม่
* เครื่องมือสร้างกลยุทธธุรกิจ
เพื่อทำให้ไอเดียสร้างสรรค์กลายเป็นจริง คือ “โมเดลธุรกิจบนผืนผ้าใบ” หรือ
Business Model Canvas ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้ว
เราจะมองเห็นปัจจัยหลักทั้งหมดของธุรกิจได้ในภาพเดียว
* ปัจจัยหลักทั้ง 9
ของโมเดลธุรกิจบนผืนผ้าใบคือ
1) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
2) คุณค่าที่นำเสนอ
3) ช่องทางเข้าถึงลูกค้า
4) สายสัมพันธ์กับลูกค้า
5) รายได้หลัก
6) ทรัพยากรที่มี
7) งานหลักที่ทำ
8) หุ้นส่วนหลัก
9) ต้นทุน
* การเขียนโมเดลธุรกิจในช่อง 9
ช่องในกระดาษแผ่นเดียว จะช่วยฝึกให้เราคิดเป็นภาพ
ซึ่งช่วยให้เราจัดกระบวนการความคิดในหัวได้ดีขึ้น
* โมเดลธุรกิจอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ
การให้ฟรี เมื่อ MIT เปิดให้เรียนคอร์สออนไลน์บางคอร์สฟรี
คนก็ติดใจและมาลงทะเบียนเรียนจ่ายเงินเป็นนักศึกษาประจำ
หรือเมื่อแมคโดนัลด์แจกกาแฟฟรี
ยอดขายสินค้าอื่นก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะไหน ๆ ก็เข้าร้านมาแล้ว คนก็อยากซื้ออย่างอื่นไปด้วย
*
การที่ไอเดียหนึ่งจะพัฒนาไปเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ต้องผ่านการ “ลงมือทำ” ถ้าหากว่าเรายอมแพ้ไปเสียก่อนตั้งแต่เจอความยากลำบาก
หรือถ้าไม่ลงมือทำเลย ผลงานที่ยอดเยี่ยมก็จะไม่เกิดขึ้น
ความมุ่งมั่นตั้งใจและการมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนทำนี่แหละที่จะทำให้ไอเดียดี
ๆ กลายเป็นจริง และเกิดเป็นคุณค่าที่มีพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกได้
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
*
คนเรามักคิดว่าความคิดสร้างสรรค์ต้องเริ่มมาจากการ “คิด” แต่เล่มนี้เสนอว่ามาจากการ “ลงมือทำด้วยความกระตือรือร้น” มากกว่า
* ซึ่งหมายความว่าเราต้องสามารถมองหา “ความหมาย” และ
“คุณค่า” ในสิ่งที่เราทำให้ได้
ทำให้ครูนึกถึงแนวคิด ikigai
ของญี่ปุ่นค่ะ (รอรีวิวเล่ม ikigai เร็ว
ๆ นี้นะคะ)
* การมีทัศนคติเชิงบวก มองโลกในแง่ดี
การขยันจดบันทึกและไอเดียและกลับไปดูบ่อย ๆ รวมทั้งการเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างทางไปสู่ความสำเร็จ
จะช่วยนำเราไปถึงความสำเร็จได้อย่างมีความสุขระหว่างทางไปด้วย
หนังสือชื่อ “เราจะเป็นคนที่คิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร” โดย
Oh Sang Jin แปลโดย
นาริฐา สุขประมาณ สำนักพิมพ์ "พราว" 200 หน้า ราคา 195 บาท
มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น