วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 484 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เราจะเป็นคนที่คิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร”


งานแบบไหนบ้างนะที่หุ่นยนต์จะมาแย่งเราทำไม่ได้?
คำตอบอาจมีหลายคำตอบ แต่ครูเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือ งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ
คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถพัฒนาเสริมสร้างพลังความคิดสร้างสรรค์ของเราให้แข็งแกร่งขึ้น
หัวหน้าแผนกพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรซัมซุงจากประเทศเกาหลีมีเคล็ดลับจะมาบอกคุณ


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้ที่ทำหน้าที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากรของซัมซุงมากว่า 20 ปี และระหว่างนั้นก็เคยได้รับรางวัล ครูดีเด่นจากกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีด้วย
หนังสือขนาดกะทัดรัดพกไปอ่านสะดวก และสามารถอ่านได้รวดเดียวจบอย่างเพลิดเพลินนี้ไม่ได้สอนวิธีพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียว แต่ยังสอนทัศนคติที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จทั้งในงานที่คุณทำให้องค์กร และสำหรับผู้ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเองด้วย
ในเล่มมีตัวอย่างโฆษณาที่ประสบความสำเร็จในเชิงความคิดสร้างสรรค์ทั้งของเกาหลีและของประเทศต่าง ๆ ในโลกจำนวนมากมาย ซึ่งคุณสามารถตามไปชมประกอบได้ในยูทูป
เหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาตนเองโดยรวมค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ไมเคิล พอร์เตอร์ กูรูด้านการบริหารธุรกิจ กล่าวว่า ในศตวรรษที่ ๒๑ ไม่มีธุรกิจไหนจะเป็นที่ ๑ ได้ตลอดไป มีแต่ธุรกิจที่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ
ซึ่งหมายความว่า องค์กรที่มีความสร้างสรรค์เท่านั้นที่จะรอดได้
* คุณสมบัติสำหรับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในวงการธุรกิจคือต้องมี 4Cs ได้แก่
1. Compassion มีความรู้สึกร่วมไปกับลูกค้า ไอเดียต้องตรงใจลูกค้า ใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่แค่มีความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว
2. Conception เข้าใจภาพรวมทั้งหมด เพราะจะช่วยให้เสนอทางเลือกที่หลากหลายได้
3. Controversy ต้องสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนกับคนที่คิดต่างได้อย่างสร้างสรรค์
4. Commitment มีความมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับงาน
* แรงผลักดันที่จะทำให้สิ่งที่ยากแสนยากกลายเป็นจริงได้ คือ ทัศนคติเชิงบวก (positive attitude) หรือ การคิดบวก
* การคิดบวก เป็นข้อแตกต่างพื้นฐานระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว คนที่คิดบวกจะเชื่อมั่นว่าตนทำได้และจะลุกขึ้นมาทุกครั้งที่ล้ม
* ในการคิดสร้างสรรค์อะไรขึ้นมานั้นต้องเจอความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเป็นธรรมดา ดังนั้น ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือ การคิดบวก
* คำว่า เป็นไปไม่ได้เป็นแค่ข้อแก้ตัวของคนอ่อนแอ เป็นแค่เรื่องชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นตลอดกาล
* คนที่จะมีพลังในการคิดบวกไม่สิ้นสุด คือคนที่เชื่อมั่นในตนเอง
* Dove เคยทำแคมเปญโฆษณาเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองให้ผู้หญิง เพราะจากการสำรวจพบว่า มีผู้หญิงเพียง 4% เท่านั้นที่คิดว่าตนเองสวย
Dove จึงใช้วิธีให้ผู้หญิงมานั่งอธิบายหน้าตาของตนเองให้กับนักสเก็ตช์ภาพของ FBI วาด โดยนักสเก็ตช์ภาพจะไม่เห็นหน้าเธอ
วันต่อมา Dove จะให้บุคคลที่สามมานั่งอธิบายหน้าของผู้หญิงคนนั้นให้นักสเก็ตช์ภาพคนเดิมวาด
ผลที่ออกมาคือ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะบรรยายลักษณะตนเองในแง่ลบ ในขณะที่ผู้อื่นมองเห็นความงามในตัวเธอ
(และจากภาพประกอบเรื่อง ภาพของคนคนนั้นในสายตาคนอื่นจะออกมาสวยกว่าภาพที่เจ้าตัวบรรยายตนเอง และเหมือนตัวจริงกว่าด้วย!)
Dove ทำให้ผู้คนที่ดูโฆษณาชุดนี้ฉุกคิดได้ว่า ความงามที่แท้จริง คือ การมองให้เห็นสิ่งที่งดงาม
ฅ ความสนุกมีบทบาทสำคัญในการเรียกความมั่นใจในตนเองกลับมา เสียงหัวเราะคือเครื่องมือพลิกชีวิตที่ทรงพลังที่สุด
1. การหัวเราะช่วยเรื่องระบบเผาผลาญและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย การเต้นหัวใจปกติ และลดอาการความดันสูง
2. การหัวเราะช่วยให้เซลล์ NK ซึ่งมีหน้าที่กำจัดเซลล์ผิดปกติในร่างกายเจริญเติบโตดี (ช่วยฆ่ามะเร็ง)
3. การหัวเราะทำให้กล้ามเนื้อถึง 231 มัดจาก 650 มัดในร่างกายได้ออกกำลังกายคล้ายการเต้นแอโรบิคส์
ถึงแม้ลินคอล์นจะมีชีวิตวัยเด็กและวัยหนุ่มที่ยากลำบากและล้มเหลวจนถึงอายุ 50 แต่เขาก็ยังยิ้มสู้เสมอ เขาเคยกล่าวว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่โดยไม่หัวเราะ ผมคงตายไปนานแล้ว
* ประเทศเกาหลีเองก็เคยจัดแคมเปญเกี่ยวกับการคิดบวกและการมองโลกในแง่ดี โดยรัฐบาลเกาหลีทำขึ้นในปี 2005 และฮุนไดกรุ๊ปทำในปี 2007 โดยรัฐบาลเกาหลีได้ทำแคมเปญเปรียบเทียบให้เห็นว่าการมองโลกในแง่ดีและแง่ร้ายว่ามีผลต่างกันอย่างไร
เช่น รัฐบาลเกาหลียกตัวอย่างวิธีคิดของ CEO บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งที่เคยล้มเหลวว่า ในสถานการณ์เดียวกันเราอาจคิดว่า ถ้าเริ่มใหม่ตอนนี้ก็สายไปแล้วหรือคิดว่า ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีกตลอดกาลก็ได้
ส่วนฮุนไดกรุ๊ปยกตัวอย่างว่า เวลาที่เรามองภาพของปิกัสโซ่ เราอาจเกิดความคิดว่า เหมือนภาพเด็กเล่นหรือ เป็นการทดลองสิ่งใหม่ก็ได้
* ลองดูตัวเลขต่อไปนี้แล้วลองเดาว่าคืออะไร
เอดิสัน 1,093 ฟรอยด์ 650 บาค 1,080 ปิกัสโซ่ 2,00 โมสาร์ท 600 ไอน์สไตน์ 248 เชกสเปียร์ 154
ทั้งหมดนี้คือจำนวนสิ่งประดิษฐ์หรือผลงานของคนเหล่านี้
เราจำผลงานของเขาได้เพียงไม่กี่ชิ้น นั่นหมายความว่า เบื้องหลังความสำเร็จของเขาเขาต้องทุ่มเททำงานด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า (Passion) อย่างไม่หยุดนิ่ง
* ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานของเราก็เช่นกัน ถ้าไม่มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำแล้ว งานอาจจะ เสร็จแต่ไม่มีวัน ประสบความสำเร็จ
* เงื่อนไขอันดับแรกของการสร้างความกระตือรือร้นคือการมองหาสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญในงานและ ลงมือทำ
ทุกหน้าที่มีคุณค่า มีความสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหามันเจอหรือเปล่า ลองถามตัวเองว่า ทุกวันนี้คุณทำอะไรอยู่ และทำไปทำไม
ถ้าตอบไม่ได้ คุณจะทำงานอย่างเฉื่อยชา ส่งผลเสียทั้งกับตัวคุณเองและองค์กร
* อีกประการหนึ่งคือ เราต้องวาดภาพความสำเร็จของเราให้ชัด เพราะพอรู้ว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว เราก็จะกระตือรือร้นที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเอง
* คนเป็นเจ้าของกิจการจะเต็มใจทำงานที่ลำบากได้ แต่ลูกจ้างจะฝืนใจทำ เจ้าของจะอดทนต่อความลำบากวันนี้เพื่อพรุ่งนี้ ลูกจ้างหนีเมื่อเจองานลำบาก เจ้าของมองไปถึงวันพรุ่งนี้ ลูกจ้างมองแค่วันนี้
ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นคนที่กระตือรือร้นเสมอ เราต้องสวมวิญญาณของเจ้าของบริษัท
* วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเองก็ยังบอกว่า การทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของตัวเขาเหมือนกัน
* กฎ Ringelmann Effect ระบุว่า ถ้าเรามีความรู้สึกว่า งานนี้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวเราจะทุ่ม 100% แต่ถ้ายิ่งเพิ่มจำนวนคนทำงานมากเท่าไหร่ คนก็จะออกแรงทุ่มเทน้อยลงไปตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น
* ประธานจูยอง ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ฮุนได มักจะพูดเสมอว่า ผมไปทำงานทุกวันด้วยความรู้สึกเหมือนจะไปปิกนิก เต็มไปด้วยความสนุกและความหวัง เหมือนกับจะไปเที่ยวเล่น ไม่ใช่ไปทำงาน
* บิล เกตส์ เคยพูดคล้ายกันว่า ผมมีอาชีพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก แล้วเวลาไปทำงานจะไม่สนุกได้ยังไง ที่นั่นมีการเรียนรู้ โอกาส และการท้าทายใหม่ ๆ กำลังรอผมอยู่เสมอ
สิ่งที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันคือ จิตวิญญาณการเป็นเจ้าของ
* โคโนสุเกะ มัตซึชิตะ ผู้ก่อตั้ง Panasonic ผู้ได้ชื่อว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการบริหารที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ย่ำแย่จากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มต้นด้วยความยากลำบากรอบด้าน
แต่นั่นคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเขา ทั้ง 3 ข้อได้แก่
1) เพราะเกิดมายากจนข้นแค้น เขาจึงรู้ว่า ถ้าไม่ขยันทำงาน ก็ไม่มีทางอยู่ดีกินดีได้
2) เพราะเกิดมาร่างกายอ่อนแอ เขาจึงรู้ว่า สุขภาพที่ดีมีค่าแค่ไหนจึงดูแลร่างกายอย่างดีจนมีอายุยืนกว่า 90 ปี
3) เพราะต้องออกจากโรงเรียนกลางคันตอนป. 4 ทำให้เขาต้อง ขวนขวายเรียนรู้โดยยึดทุกอย่างเป็นครู
มัตซึชิตะมักจะขอบคุณความโชคร้ายนั้นและมองโลกในแง่ดีเสมอ
* การจดบันทึกประจำวัน และจดไอเดียทันทีที่ผุดขึ้นมาจนเป็นนิสัย เป็นหนึ่งในเคล็ดลับของผู้ที่ประสบความสำเร็จ เช่น แจ็ค เวลช์ ผู้สร้าง General Electric จนประสบความสำเร็จระดับโลก และ โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ผู้เปลี่ยนโลก
* จงฝึกจดบันทึกเสมอไม่ว่าจะที่ไหนและเมื่อไหร่ จงสังเกตคนรอบข้างแล้วจดบันทึก จงจัดบันทึกแล้วเอากลับมาดูใหม่
* เครื่องมือสร้างกลยุทธธุรกิจ เพื่อทำให้ไอเดียสร้างสรรค์กลายเป็นจริง คือ โมเดลธุรกิจบนผืนผ้าใบหรือ Business Model Canvas ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้ว เราจะมองเห็นปัจจัยหลักทั้งหมดของธุรกิจได้ในภาพเดียว
* ปัจจัยหลักทั้ง 9 ของโมเดลธุรกิจบนผืนผ้าใบคือ
1) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
2) คุณค่าที่นำเสนอ
3) ช่องทางเข้าถึงลูกค้า
4) สายสัมพันธ์กับลูกค้า
5) รายได้หลัก
6) ทรัพยากรที่มี
7) งานหลักที่ทำ
8) หุ้นส่วนหลัก
9) ต้นทุน
* การเขียนโมเดลธุรกิจในช่อง 9 ช่องในกระดาษแผ่นเดียว จะช่วยฝึกให้เราคิดเป็นภาพ ซึ่งช่วยให้เราจัดกระบวนการความคิดในหัวได้ดีขึ้น
* โมเดลธุรกิจอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การให้ฟรี เมื่อ MIT เปิดให้เรียนคอร์สออนไลน์บางคอร์สฟรี คนก็ติดใจและมาลงทะเบียนเรียนจ่ายเงินเป็นนักศึกษาประจำ
หรือเมื่อแมคโดนัลด์แจกกาแฟฟรี ยอดขายสินค้าอื่นก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะไหน ๆ ก็เข้าร้านมาแล้ว คนก็อยากซื้ออย่างอื่นไปด้วย
* การที่ไอเดียหนึ่งจะพัฒนาไปเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น ต้องผ่านการ ลงมือทำถ้าหากว่าเรายอมแพ้ไปเสียก่อนตั้งแต่เจอความยากลำบาก หรือถ้าไม่ลงมือทำเลย ผลงานที่ยอดเยี่ยมก็จะไม่เกิดขึ้น
ความมุ่งมั่นตั้งใจและการมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนทำนี่แหละที่จะทำให้ไอเดียดี ๆ กลายเป็นจริง และเกิดเป็นคุณค่าที่มีพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกได้
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* คนเรามักคิดว่าความคิดสร้างสรรค์ต้องเริ่มมาจากการ คิดแต่เล่มนี้เสนอว่ามาจากการ ลงมือทำด้วยความกระตือรือร้นมากกว่า
* ซึ่งหมายความว่าเราต้องสามารถมองหา ความหมายและ คุณค่าในสิ่งที่เราทำให้ได้ ทำให้ครูนึกถึงแนวคิด ikigai ของญี่ปุ่นค่ะ (รอรีวิวเล่ม ikigai เร็ว ๆ นี้นะคะ)
* การมีทัศนคติเชิงบวก มองโลกในแง่ดี การขยันจดบันทึกและไอเดียและกลับไปดูบ่อย ๆ รวมทั้งการเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างทางไปสู่ความสำเร็จ จะช่วยนำเราไปถึงความสำเร็จได้อย่างมีความสุขระหว่างทางไปด้วย
หนังสือชื่อ เราจะเป็นคนที่คิดสร้างสรรค์ได้อย่างไรโดย Oh Sang Jin แปลโดย นาริฐา สุขประมาณ สำนักพิมพ์ "พราว" 200 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น