วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มาเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเยอรมันผ่านการ์ตูนกัน


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 384 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในเยอรมนี”



=ภาพรวม=
การ์ตูนซีรี่ส์ ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า จากเกาหลีนี้  เป็นซีรี่ส์การ์ตูนที่สอนประวัติศาสตร์ผ่านการผจญภัยของเด็ก ๆ ชาวเกาหลีในประเทศต่าง ๆ
เล่มนี้เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเยอรมนี  โดยมีการสอดแทรกบทความประกอบภาพเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ความรู้เพิ่มเติมจากส่วนการ์ตูนด้วย
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ฮิตเลอร์และนาซีเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดการสังหารชาวยิวและชนชาติอื่นนับล้าน ๆ คน  ถือเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
*  หลังสงคามสิ้นสุด ชาวเยอรมันต่างเสียใจกับการกระทำที่โหดร้ายของนาซี  พวกเขาชดใช้ความเสียหายให้กับผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัว  รวมทั้งเตือนตัวเองถึงเรื่องราวที่ผิดพลาดในอดีตอยู่ตลอดเวลา
*  ในปัจจุบัน ชาวเยอรมันพัฒนาประเทศขึ้นมาอย่างมากจนกลายเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
*  เยอรมนีมีประชากรทั้งหมดประมาณ 82 ล้านคน  เป็นชาวเยอรมัน 92% ของประชากรทั้งหมด  เมืองหลวงคือ เบอร์ลิน  เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดกับหลายประเทศมากที่สุดในยุโรปจึงถูกขนานนามว่า “ศูนย์กลางของทวีปยุโรป”
*  ความสัมพันธ์ของไทยกับเยอรมนีเริ่มเมื่อปีพ.ศ. 2450 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเยอรมนี
*  เยอรมนีมีชื่อเสียงด้านไส้กรอกและหมูแฮม  และมีมันฝรั่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอาหารเยอรมัน  นอกจากนี้ยังถูกขนานนามว่าเป็นเมืองเบียร์  ชาวเยอรมันไม่ได้คิดว่าเบียร์เป็นสุรา แต่คิดว่าเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง  ชาวเยอรมันดื่มเบียร์เฉลี่ยวันละ 1 กระป๋อง  แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ดื่มจนเมามายขนาดสติ
*  ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเยอรมนี  ทีมฟุตบอลเยอรมันมีจุดเด่นอยู่ที่ความสามัคคี มีระเบียบวินัย มีกองหลังและกองหน้าที่แข็งแกร่ง  ซึ่งก็นิสัยเหมือนกับชาวเยอรมันนั่นเอง
*  รถยนต์เป็นสินค้าซึ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือของชาวเยอรมัน  รถยนต์ที่มีเชื่อเสียงจากเยอรมันได้แก่  เมอร์ซีเดส เบนซ์,  บีเอ็มดับบลิว,  ออดี้,  โฟล์คสวาเกน และ ปอร์เช
*  ออโทบาห์น (Autobahn) เป็นถนนหลวงในเยอรมนี  เนื่องจากไม่จำกัดความเร็ว จึงทำให้มีชื่อเสียงโด่งดัง  แต่ปัจจุบันเส้นทางนี้ผ่านหลายเมือง  ดังนั้นบางช่วงจึงมีการจำกัดความเร็วเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
*  เยอรมนีเป็นบ้านเกิดของนักดนตรีคลาสสิคหลายคน  ได้แก่ บาค, เบโทเฟน, วากเนอร์ และ บรามส์
*  เยอรมันมีวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงหลายชิ้นจากนักประพันธ์อย่างเกอเทอและพี่น้องตระกูลกริมม์  นอกจากนี้ยังมีนักปรัชญาชื่อดังมากมาย เช่น อิมมานูเอล คานท์  จอร์จ วิลเฮลม์ และ ฟรีดริช เฮเกิล
*  เยอรมันมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับการจัดให้เป็นมรดกโลกอยู่ถึง 6 แห่ง  ที่เก่าแก่ที่สุดคือ มหาวิหารคาเคินจากยุคกลาง  สร้างขึ้นในปีค.ศ. 785 ในสมัยพระเจ้าชาร์เลอมาญ  นอกจากนี้ยังมีมหาวิหารแห่งโคโลญที่ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์สไตล์กอทิกที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย
หนังสือชื่อ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในเยอรมนี” โดย Gomdroi co. ภาพประกอบโดย Kang Gyung-Hyo แปลโดย กัญญารัตน์ จิราสวัสดิ์ การ์ตูนความรู้นานมีบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 9 พฤศจิกายน 2553 192 หน้า ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในเยอรมนี” ได้ที่ https://goo.gl/jqIL1a

มาอ่านข้อคิดจากชาวต่างชาติที่ชื่นชมพ่อหลวงของเรากัน


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 383 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าแผ่นดิน”  โดย แมนเฟรด คราเมส



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยชาวเยอรมันผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาและได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ศรีลังกา และประเทศไทย   ในขณะที่พำนักอยู่ในประเทศไทย  เขาได้ศึกษาพระกรณียกิจตลอดจนพระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างละเอียดและรู้สึกชื่นชมซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงอย่างเดียว  แต่เพื่อเรียกร้องให้ชาวไทยประพฤติปฏิบัติตนตามอย่างที่พระผู้ทรงเป็น “ครูของแผ่นดิน” ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่างด้วย
การได้รับฟังมุมมองจากชาวต่างชาติผู้ปรารถนาดีต่อชาวไทยและประเทศไทยนั้นเป็นประโยชน์มาก ถึงแม้ผู้เขียนจะเขียนซ้ำไปมาบ้างในบางประเด็น  แต่ก็คุ้มค่าที่จะอ่านอย่างยิ่ง
=น่าสนใจจากเล่ม=
*  “…การสรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นคนละเรื่องกัน  ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับรู้ข้อมูลจริง ๆ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบมากน้อยเพียงใด  และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญา และแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง ๆ…”
*  ผมคิดว่าเป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่ง ๆ นอน ๆ ใช้ชีวิตอย่างสบาย และให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลและแก้ปัญหาของชาติ  ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์
*  ประเทศหลายแห่งในโลกจะดีใจที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้  แต่คุณเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นกษัตริย์  แต่ถ้าไม่ได้นำสิ่งที่เป็นประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิตเลย ผมคิดว่าน่าละอาย
*  อันดับแรก  ชาวไทยควรจะต้องเข้าใจคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถ่องแท้ และผสมผสานแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระองค์ลงไปในการดำเนินชีวิตประจำวันเสียก่อน  สิ่งเหล่านี้ควรจะได้รับการบรรจุลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกแห่ง
*  ผมเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเจ้าหน้าที่ประจำคณะรัฐมนตรีศึกษาธิการของประเทศไทย  รวมถึงขอเข้าพบเพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหา  แต่พวกเขาไม่มีแม้แต่จะตอบกลับมาว่าได้รับจดหมายแล้ว  นี่คือผลลัพธ์ของค่านิยมตะวันตกและกระแสแห่งการบริโภคนิยม  ซึ่งถูกกระตุ้นโดยนักการเมืองไทย(สมัยหนึ่ง)
*  เรื่องที่น่าสลดใจก็คือ  คนไทยทั้งหลายยังไม่ได้ตระหนักในสิ่งนี้  ทุกคนภาคภูมิใจในการมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  แต่แนวคิดอันเป็นรากฐานของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การเป็นแรงบันดาลใจ ความเป็นตัวอย่างที่ดีและวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพระองค์ไม่ได้ถูกรับเอามาใช้เต็มที่
*  ทุกคนควรจะตระหนักว่าหนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพต่อครูก็คือเรียนรู้จากพระองค์เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคนอื่น  ไม่ใช่เพียงแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน
*  เราควรถามตนเองว่าในฐานะปัจเจกบุคคลเราได้ทำอะไรไปแล้วบ้างหรือไม่อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น  โดยยึดแนวทางของพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ
*  ตามปกติ ผู้คนที่มาจากซีกโลกตะวันออกแต่เติบโตในซีกโลกตะวันตกเป็นเวลานานจะได้รับอิทธิพลจากซีกโลกตะวันตกซึ่งยากที่จะขจัดออกไปได้  น่าประหลาดใจที่สิ่งดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นแก่พระเจ้าอยู่หัวเลย
*  ในทางกลับกัน พระองค์เพียงทรงเรียนรู้ในสิ่งที่ดีงามและเป็นประโยชน์จากโลกตะวันตก  โดยมิได้ทรงหลงพระองค์เข้าไปอยู่ในอิทธิพลของโลกตะวันตกเลยแม้แต่น้อย  และยังคงทรงยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา และแนวทางในการดำเนินชีวิตของโลกตะวันออก ที่ฝังแน่นมาในวัฒนธรรมสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน
*  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยซ่อมสิ่งของต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง  คุณลองจินตนาการถึงภาพพระราชจริยวัตรดูสิว่า ตัวคุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เห็นภาพเช่นนั้น  ทรงแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีงานใดยกเว้นไว้สำหรับพระองค์”
*  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาใช้จริง ๆ  ครั้งหนึ่งเมื่อมีรถจักรยานยนต์พุ่งเข้าชนรถยนต์พระที่นั่งที่ทรงขับด้วยพระองค์เองจนรถพระที่นั่งได้รับความเสียหาย ก็มิได้ทรงตระหนกตกใจ  หากแต่ทรงดำเนินการด้วยพระอาการที่สงบ เยือกเย็น (ด้วยกำลังพระสติ – ผู้วิจารณ์) ทรงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
*  อีกครั้งหนึ่งระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกรในถิ่นทุรกันดารเมื่อ 22 ก.ย. 2517  เกิดระเบิดขึ้นห่างจากที่ทรงประทับยืนเพียง 40 ม.  ก็ทรงมิได้มีพระอาการตื่นตระหนกประการใด
*  คุณเคยดุด่าลูก ๆ หรือแสดงอารมณ์โกรธกับลูก ๆ หรือเปล่า  คุณมีความรักและความอดทนพอที่จะอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้ลูก ๆ ได้รับฟังหรือเปล่า  คุณควรให้เวลาแก่ลูก บำรุงขวัญลูกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ  นี่เป็นวิธีการที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติต่อพสกนิกรของพระองค์
*  การทำสมาธิ เป็นวิธีการที่จะช่วยให้เราเกิดปัญญาในการตัดสินว่าอะไรเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา  ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงถือปฏิบัติเป็นประจำ  การที่ใครสักคนหนึ่งเลือกใช้ชีวิตด้วยสติปัญญา และยังเป็นพุทธมามกะที่ดีพร้อม…ปรากฏอยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลาเช่นนี้แล้ว  เหตุใดพวกเราจึงยังคงหลับตากันอยู่
*  ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในพระราชภารกิจน้อยใหญ่  แต่ก็มิได้ทรงโอ้อวดความสำเร็จของพระองค์เลยแม้แต่น้อย  แต่กลับทรงถ่อมพระองค์…และคงความต่อเนื่องในการทรงปฏิบัติพระราชภารกิจเพื่อพสกนิกรที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
*  ผมแน่ใจว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงปลื้มปิติและทรงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่พสกนิกรของพระองค์ส่วนใหญ่ได้เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท  ยึดพระองค์เป็นตัวอย่างและเรียนรู้จากพระองค์แทนที่จะแสดงความจงรักภักดีเฉพาะแต่เพียงวาจาเท่านั้น
หนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าแผ่นดิน” โดย แมนเฟรด คราเมส สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ จำกัด พิมพ์ครั้งที่ 4 กรกฎาคม 2555 176 หน้า ราคา 159 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าแผ่นดิน” ทั้งในแบบรูปเล่มและ e-book ได้ที่ https://goo.gl/UCpnYE

อยากอ่านคำแนะนำการลงทุนแบบ “ง่ายที่สุด”?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 382 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “การเงิน การลงทุน เล่มนี้ง่ายดี”



=ภาพรวม=
ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่อยากเริ่มต้นศึกษาการลงทุนแต่ไม่มีพื้นฐานใด ๆ มาเลย  หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเล่มหนึ่ง  รูปเล่มเป็น infographics ภาพสีสันสดใสลายเส้นน่ารักชวนอมยิ้มตลอดเล่ม  ที่สำคัญคือการอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนอย่างง่ายเสียจนเด็กมัธยมต้นก็คงเข้าใจ
เนื้อหาโดยรวมเป็นการอธิบาย concept การเงินขั้นพื้นฐานให้กับตัวละครสมมติเป็นมนุษย์เงินเดือนชื่อนายเห็ดสด  ตามด้วยการแนะนำให้รู้จักกับ LTF และแหล่งศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม  ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าวิธีนี้สามารถทำเงินให้คุณได้เป็น 10 ล้านจริง ๆ เมื่อถึงวัยเกษียณ
ด้วยความง่ายและความน่ารัก  ผู้วิจารณ์รู้สึกว่าเล่มนี้ต้องเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีในช่วงงานสัปดาห์หนังสือที่จะมาถึงแน่นอน
=น่าสนใจจากเล่ม=
*  ของทุกอย่างจะแพงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป  เมื่อถึงวัยเกษียณ ราคากระเพราไก่+ไข่ดาวข้างถนนอาจราคาสูงถึง 120 บาท (โดยคิดจากอัตราเงินเฟ้อเพียง 3% เท่านั้น หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าของทุกอย่างจะแพงขึ้น 2.4 เท่า)
*  ที่ปรึกษาทางการเงินจะให้คำแนะนำคุณได้พอ ๆ กับความรู้ทางการเงินของคุณเท่านั้น  ดังนั้น ยิ่งมีความเข้าใจมาก ก็ยิ่งใช้ประโยชน์จากที่ปรึกษาได้มาก
*  ไม่ว่าจะเป็นแผนการเงินใด ต้องประกอบด้วย  1) การหาเงินให้มากขึ้น  2) การใช้เงินที่หามา  3) การใช้เงินหาเงินเพิ่ม  และ  4) การป้องกันการเสียเงิน
*  รายจ่ายมีหลายประเภท เช่น จ่ายเพื่อบริโภค (บ้าน รถ กิน น้ำ ไฟ)  จ่ายเพื่อพัฒนาตนเอง (สัมมนา เรียนต่อ หนังสือ)  และจ่ายเพื่อลงทุน  (หุ้น ตึก)
*  มองอีกอย่าง คือ แบ่งเป็นรายจ่ายที่ “จ่ายแล้วจบไป” เช่น อาหาร  “จ่ายแล้วจะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีก” เช่น รถ  และ “จ่ายแล้วเงินเข้ากระเป๋า” เช่น การลงทุน
*  จากเงินเดือนให้หักมาก่อน 15% เพื่อนำไปลงทุน  ถ้าไม่มีเวลาศึกษาเรื่องหุ้น หรือ อสังหา ก็ให้ไปลงทุนในกองทุนรวม เช่น LTF  ซึ่งซื้อง่าย ๆ ได้ที่ธนาคารต่าง ๆ
*  กองทุนรวม LTF เอาเงินไปลงทุนซื้อหุ้น  บางกองก็ซื้อเก็บไว้ยาว  บางกองก็ซื้อ ๆ ขาย ๆ  ข้อดีคือสามารถนำไปหักภาษีได้  (ในเล่มมีภาพการคำนวณส่วนต่างให้เห็นภาพตามง่าย ๆ)
*  ณ วันที่ตีพิมพ์หนังสือมีกองทุนรวม 53 กอง  รายละเอียดของแต่ละกองสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของผู้เขียน
*  กำไรที่จะเข้ากระเป๋าของคุณมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ หักด้วย ค่าใช้จ่ายกองทุน
*  วิธีเลือกกองทุนของคนไม่มีเวลาหรือทักษะในการเลือกอย่างละเอียดให้พิจารณาดูจากค่าใช้จ่ายของแต่ละกองทุน  (ในเล่มมีตัวอย่างภาพประกอบ)
*  ข้อเสียคือมันให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคนที่คัดหุ้นเองได้เก่ง  คือ กองทุนดี ๆ อยู่ระหว่าง 8-12% ส่วนเซียนหุ้นจะสามารถทำได้ประมาณ 15%
*  ถ้าเริ่มลงทุนที่อายุ 25 ปีด้วยอัตรา 15% ของเงินเดือน 20,000 และสมมติว่าเงินเดือนขึ้น 5% ทุก ๆ ปี  เมื่อเกษียณที่อายุ 55 ปีจะมีโอกาสทำเงินได้ถึง 10.5 ล้านบาท  และถ้ากองทุนทำรายได้ได้แย่กว่าที่คิดสักครึ่งหนึ่งก็จะยังได้ราว 5.5 ล้านบาท
หนังสือชื่อ “การเงิน การลงทุน เล่มนี้ง่ายดี” โดย TACTSCHOOL สำนักพิม proudbook จำกัด พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2559 264 หน้า ราคา 200 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “การเงิน การลงทุน เล่มนี้ง่ายดี” ได้ที่ https://goo.gl/40YRG6

มหาเศรษฐี 2,000 คนมีอะไรเหมือนกัน?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 381 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “นิสัยเศรษฐี  คนมีดี ไม่ได้มีแค่เงิน”



=ภาพรวม=
หนังสือที่แปลจากภาษาญี่ปุ่นเล่มนี้จะมาเล่าให้คุณฟังถึงวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตของเหล่ามหาเศรษฐีต่าง ๆ จากทั่วโลกที่ผู้เขียนได้มีโอกาสรู้จักและสัมภาษณ์ถึง 2,000 คน
เป็นเล่มต่อจากเล่ม “ความลับเศรษฐี คนแบบนี้แหละดึงดูดเงิน”  (อ่านรีวิวได้ที่นี่ https://goo.gl/Bkxwm4  )
ประเด็นหลักที่เล่มนี้เน้นก็คือ สิ่งที่ “มหาเศรษฐีที่มีความสุข” ล้วนมีเหมือนกันคือทักษะในการ “คบค้าสมาคมกับผู้อื่น”  โดยผู้เขียนได้ยกตัวอย่างสถานการณ์จริงมาเล่า พร้อมทั้งสรุปเป็นเคล็ดลับให้อย่างย่อ ๆ
อ่านโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกว่า มหาเศรษฐีที่มีความสุขคือผู้ที่คิดถึงประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตนเอง  และใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างแม้จะเป็นคนที่ด้อยกว่าทั้งในด้านสังคมหรือวัยวุฒินั่นเอง
=น่าสนใจจากเล่ม=
*  มหาเศรษฐีที่มีความสุข  ต้องพรั่งพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ  คือ “เงิน” “มิตร” “อิสระด้านเวลา” และ “สุขภาพที่แข็งแรง”
*  ถ้าต้องการที่จะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์  ควรเริ่มจากการสร้างตัวเองให้เป็นที่น่าเชื่อถือ
*  ทั้งคนและเงินต่างชอบอยู่กับคนที่รู้จักชมผู้อื่น  และถ้าจะให้ดีควรชมทางอ้อมด้วย คือ ชมลับหลังเขาให้ผู้อื่นฟัง  ตลอดจนชมลูกน้องเขาและชมคู่ครองของเขา
*  จงใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี  ถ้าตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้วว่าอยากเรียนรู้จากคนคนนี้  โอกาสที่จะได้พบบุคคลดังกล่าวย่อมเวียนมาสักวัน  ลองซักซ้อมดูว่าหากได้พบแล้วจะพูดคุยหรือถามเรื่องอะไร
*  “สิทธิ์ในการร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนอันดับ 1 ของโลก”  เปิดประมูลทางอินเทอร์เน็ตเป็นประจำทุกปี  ในปี 2012 ราคาประมูลสูงสุดอยู่ที่ 120 ล้านเยน  และวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้บริจาคเงินทั้งหมดเข้าการกุศล
*  ถ้าอีกฝ่ายเป็นมหาเศรษฐีที่มีทุกอย่างพร้อมแล้ว  ต้องให้อะไรเขาถึงจะดีใจ?  “การอุทิศตน ข้อมูลข่าวสาร และงานอดิเรก”
* มหาเศรษฐีที่มีความสุขจะชอบให้แบบไม่หวังผลตอบแทน  รู้จักกล่าวคำขอโทษแม้กับเรื่องเล็กน้อย  และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน
* เคล็ดลับ 6 ข้อสำหรับเปลี่ยนบรรยากาศเวลารู้สึกย่อท้อ  1) ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ฮอร์โมนแห่งความกระตือรือร้นหลั่งออกมา  2) ดูภาพยนตร์เชิงบวกหรือประวัติคนประสบความสำเร็จ  3) นึกถึงเรื่องราวสนุกสนานในอดีต  4) นึกถึงสถานที่ดี ๆ ที่เคยไปในอดีต  5) เปิดดนตรีที่ถูกใจฟังซ้ำหลาย ๆ รอบ (ต้องเป็นดนตรีแนวสดใส)  6) รับฟังปัญหาของผู้อื่น เพราะระหว่างที่เราพยายามช่วยผู้อื่น เรามักลืมเรื่องกลุ้มใจของตนเอง
*  มหาเศรษฐีที่มีความสุขพยายามค้นหา “ข้อดี” ของบุคคลรอบข้างอยู่เสมอ และไม่เคยลืมบุญคุณคน
*  ผลการสำรวจสัดส่วนผู้ชมรายการประเภทเรียลลิตี้ (รายการที่คอยติดตามดูชีวิตของผู้อื่น)ในอเมริกาพบว่า 78% ของผู้ชมเป็นคนระดับยากจน  ในขณะที่ผู้ชมระดับเศรษฐีมีเพียง 6% เท่านั้น  ยิ่งคนมีฐานะดีขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งไม่เก็บเรื่องชีวิตของคนอื่นมาใส่ใจ  เพราะการใส่ใจชีวิตผู้อื่นมากเกินไปจะถ่วงความเจริญของตนเอง
* ซุนจื๊อ นักปราชญ์จีนสมัยโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “ข่าวโคมลอยมักหยุดอยู่ที่นักปราชญ์”  หมายความว่า ข่าวโคมลอยหรือข่าวลือจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่คนเขลา  ทว่าผู้มีปัญญาจะไม่เชื่อหรือนำไปบอกต่อ
*  คนทั่วไปมักเอาสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองเป็นจุดตั้งต้นเวลาตั้งเป้าหมายในชีวิต  แต่มหาเศรษฐีผู้มีความสุขจะเริ่มจาก “อนาคตอยากเป็นเช่นไร”  เพราะเมื่อกำหนดเป้าหมายในอนาคตได้  ก็จะสามารถกำหนดสิ่งที่ควรทำในเวลานี้ด้วยการคำนวณย้อนได้
*  แม้ปัจจุบันจะอยู่ในสภาพเท่ากับศูนย์ สิ่งที่ต้องคิดก็มีเพียงแค่ว่า  จากนี้ควรทุ่มเทความพยายามไปในทิศทางใด
*  อย่าใช้เงินหรือตำแหน่งเป็นเป้าหมายของชีวิต  ควรตั้งความฝันที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากมากกว่า  ความฝันที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยมักได้รับการสนับสนุน
*  “การทำความดี” ควรเริ่มทำตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้น ๆ เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า เมื่อคนเราอยู่ในภาวะสดชื่นเบิกบานจากการทำความดีมักจะมองข้ามด้านลบของสิ่งต่าง ๆ ไปและจะลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น อีกทั้งแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น  ดังนั้นถ้าเริ่มทำความดีควรทำแต่เช้า เพราะนอกจากจะสดชื่นเบิกบานตลอดทั้งวันแล้วการทำงานทุกอย่างก็จะราบรื่นไปด้วย
*  คนจนมักกังวลในสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้  เช่น “ถ้าหุ้นตกต้องแย่แน่ ๆ…”  แต่มหาเศรษฐีผู้มีความสุขจะพุ่งเป้าไปที่สิ่งที่ใช้สติปัญญาของตนแก้ไขได้  เช่น  “เราจัดหามาตรการป้องกันความเสี่ยงในกรณีหุ้นตกไว้พร้อมหรือยังนะ”
*  เมื่อรู้จักพูดคำว่า “ขอบคุณ” โชคด้านการเงินและความสุขก็จะเข้ามาหา  ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าก็จะหลั่งออกมา  และทำให้เกิดความมั่นใจในตนเองและเกิดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
*  ควรขอบคุณครอบครัวตัวเองทุกคนตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายสามีภรรยา  รวมไปถึงขอบคุณธรรมชาติต่าง ๆ  และควรจะรู้สึกขอบคุณที่ตนเองยังมีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วย  เพราะในญี่ปุ่นมีคนที่นอนหลับแล้วเสียชีวิตไปปีละหลายหมื่นคน
หนังสือชื่อ “นิสัยเศรษฐี  คนมีดี ไม่ได้มีแค่เงิน” โดย โทนี่ โนะนากะ  แปลโดย อนิษา เกมเผ่าพันธ์  สำนักพิมพ์อมรินทร์ How To พิมพ์ครั้งที่ 2 พฤศจิกายน 2558 177 หน้า ราคา 189 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “นิสัยเศรษฐี  คนมีดี ไม่ได้มีแค่เงิน” ได้ที่ https://goo.gl/fbNMHn

อยากได้ตัวอย่างวิธีพัฒนาตนเองอย่างเป็นรูปธรรม?



คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 380 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เข้าใจตัวเองใน 1 นาที”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกา ใช้วิธียกตัวอย่างลักษณะนิสัยที่เป็นแง่ลบของคนทั่วไปมา 35 อย่างแล้วอธิบายให้ฟังตามหลักจิตวิทยาว่านิสัยเหล่านั้นมีสาเหตุมาจากอะไร  จากนั้นจะนำเสนอกิจกรรมและวิธีคิด วิธีปรับตัว ที่จะทำให้เราเปลี่ยนนิสัยเหล่านั้นได้สำเร็จ
อ่านง่าย  ยกตัวอย่างชัดเจน  อีกทั้งแนะนำ “วิธีลงมือปฏิบัติ” ที่จับต้องได้  เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ถ้าคุณไม่มีความหลงไหล (passion) หรือสิ่งที่คุณสนใจในชีวิตเลย  คุณก็จะไม่มีอะไรที่คอยดึงดูดความสนใจของคุณ  และความคิดคุณก็จะวนอยู่แต่กับเรื่องลบ ๆ รอบตัว
*  การคิดในแง่ลบตลอดเวลาจะสูบพลังทั้งทางกายและใจของคุณจนเหือดแห้งไป  บางครั้งมันก็อาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและซึมเศร้า  วิธีแก้คือตระหนักว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกคิดในสิ่งดี ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุขได้  และต้องตั้งใจฝึกคิดในแง่บวกจนเป็นนิสัย
*  สาเหตุที่คุณชอบยึดติดอยู่กับอดีตคือ
1) อดีตไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและคนเราก็ชอบความมั่นคงและเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้ในขณะที่อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
2) คุณใช้อดีตเป็นข้อแก้ตัวสำหรับพฤติกรรมและสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณ  นั่นก็คือ คุณไม่พร้อมที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ  อดีดจึงกลายเป็นแพะรับบาป
3)  อดีตอาจเป็นความภาคภูมิใจและความสำเร็จเพียงอย่างเดียวของคุณ  และการหวนนึกถึงวันเก่า ๆ นั้นปลอดภัยกว่าการสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ขึ้นมามาก
*  วิธีแก้คือ  1) มองให้เห็นว่า ถึงแม้อดีตคือสิ่งที่เกื้อหนุนคุณ  แต่สิ่งเดียวที่สามารถควบคุมปัจจุบันและอนาคตของคุณได้ก็คือตัวคุณเอง  การอ้างอิงถึงอดีตเพียงอย่างเดียวจะคอยจำกัดความสามารถของคุณเพราะจะทำให้คุณไม่เปิดใจให้กับวิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ และสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ
2)  ถามตัวเองว่า  “ฉันจะปล่อยให้ความเจ็บปวดนี้กัดกินฉันอีกมากแค่ไหน”  ให้กล่าวซ้ำกับตนเองว่า  “อดีตก็คืออดีต  อนาคตคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันมีอยู่”  จำไว้ว่าในแต่ละวันคุณมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง  ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
3)  จงทำให้สิ่งที่คุณทำในวันนี้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจซึ่งสามารถนำไปพูดให้คนอื่นฟังได้  แม้ว่ามันอาจเป็นเรื่องเล้กน้อยอย่างการทำงานได้สม่ำเสมอ  การเลี้ยงสัตว์  หรือการดื่มด่ำกับงานอดิเรก  จงเปิดใจยอมรับความสำเร็จในปัจจุบัน
*  ถ้ารู้สึกขี้เกียจมาก ๆ ให้ค้นหาเป้าหมายที่ดึงดูดใจและวางกรอบชีวิตของคุณให้สอดคล้องไปตามนั้น  เช่น  ให้ถามตนเองว่า  “ถ้าหากเงินและเวลาไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ  ฉันอยากจะทำอะไรกับชีวิตนี้”  จากนั้นให้เขียนออกมาโดยไม่ต้องหยุดคิดหรือกังขาในตัวเอง  แล้วเลือกเป้าหมายที่สำคัญที่สุดออกมา
*  วินัยไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด  และไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันทีอย่างการเปิดสวิทช์  วินัยเปรียบเหมือนกล้ามเนื้อของจิตใจ  คุณต้องใช้งานมันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มันแข็งแกร่งพอในเวลาที่คุณจำเป็นต้องใช้มัน
*  จงคิดค้นระบบการให้รางวัลหรือการลงโทษที่ช่วยกระตุ้นให้คุณทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง  และอาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหรือคนรักให้ช่วยสนับสนุนให้คุณทำได้สำเร็จ
*  ถึงแม้ในการฝึกวินัยของคุณจะล้มเหลวไปบ้าง  ก็จงอย่าใช้ความล้มเหลวเป็นข้ออ้างในการหยุดฝึก  จงกลับเข้าสู่เส้นทางอีกครั้งโดยทันที  ความมีวินัยคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้
*  จงทำชีวิตให้ง่ายขึ้นและจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่คุณต้องทำ  อย่าทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากมายก่ายกองจนทำไม่ไหว  จงตัดสินใจเลือกหนึ่งสิ่งที่คุณต้องทำให้เสร็จวันนี้แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับสิ่งนั้น
*  ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนในใจโดยที่แทบไม่วอกแวกเลย  การสร้างวินัยจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที
 หนังสือชื่อ “เข้าใจตัวเองใน 1 นาที” โดย เดวิด เจ. ไลเบอร์แมน แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ และ วิกันดา พินทุวชิราภรณ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 159 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “เข้าใจตัวเองใน 1 นาที” ได้ที่ https://goo.gl/zgdi7I

มาเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศสผ่านการ์ตูนกัน


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 379 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในฝรั่งเศส”



=ภาพรวม=
การ์ตูนซีรี่ส์ ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า จากเกาหลีนี้  เป็นซีรี่ส์การ์ตูนที่สอนประวัติศาสตร์ผ่านการผจญภัยของเด็ก ๆ ชาวเกาหลีในประเทศต่าง ๆ
เล่มนี้เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส  โดยมีการสอดแทรกบทความประกอบภาพเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ความรู้เพิ่มเติมจากส่วนการ์ตูนด้วย
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ฝรั่งเศสเป็นประเทศชั้นนำของยุโรปที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต  โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 17 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  ฝรั่งเศสมีความเจริญทั้งด้านวัฒนธรรม ศิลปะ การทหาร และการทูตกับต่างประเทศ  เช่น การส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
*  แต่การใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยของกษัตริย์และชนชั้นสูงทำให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในปีค.ศ. 1789
*  ปัจจุบันฝรั่งเศสปกครองระบอบประชาธิปไตยและเป็นประเทศชั้นนำของโลกในหลาย ๆ ด้าน  ส่วนความยิ่งใหญ่ในอดีตทำให้ศิลปะและวัฒนธรรมของฝรั่งเศสโดดเด่นเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
*  ชาวฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับภาษาของตนจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกโดยไม่ใช้ภาษาต่างประเทศเลย  เมื่อมีคำศัพท์ใหม่จะมีหน่วยงานด้านภาษาแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสทันทีและสื่อสิ่งพิมพ์ก็จะนำไปใช้
*  ตัวอย่างเช่น คำว่า คอมพิวเตอร์ แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ออร์ดีนาเตอร์ (ordinateur) คีย์บอร์ด แปลว่า กลาวิเย (clavier)  อีเมลเรียกว่า กูร์รีเย เอแล็กโตรนีก (courier eléctronique) เป็นต้น
*  ช่วงศตวรรษที่ 19 มาถึงต้นศตวรรษที่ 20  ฝรั่งเศสมีเมืองขึ้นมากมายเป็นอันดับสองรองจากอังกฤษ
*  หอไอเฟล สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1889 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส  เมื่อสร้างเสร็จใหม่ ๆ หลายคนเห็นว่าเป็นสิ่งก่อสร้างจากเหล็กที่หาความงามไม่ได้  กี เดอ โมปาซอง นักเขียนชื่อดีงของฝรั่งเศสถึงกับย้ายบ้านออกจากปารีสเพราะไม่ต้องการเห็นมัน
*  เพชรดังทั้งสี่แห่งทวีปยุโรปล้วนเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส  ได้แก่  1) เพชร Blue Hope มาจากอินเดีย  เดิมพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อไว้และเจียระไนเป็นรูปหัวใจ หนัก 67 กะรัต  ปัจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในอเมริกา   2)  เพชร Sancy  ขนาด 55 กะรัต  ทูตฝรั่งเศสในตุรกีนำกลับมายังฝรั่งเศส  ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์   3) เพชร Regent หนัก 140.5 กะรัต  เคยประดับมงกุฏพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และด้ามด้าบของนโปเลียน  ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์   4) เพชร Florentine  สีเหลืองอ่อน หนัก 137 กะรัต  เจียระไนเป็นดอกกุหลาบคู่  พระนางมารี อองตัวเนต เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย  หลังจากนั้นก็หายสาบสูญไป ไม่มีผู้พบเห็นอีกเลย
*  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก่อสร้างขยายพระราชวังแวร์ซายจนใหญ่เท่าในปัจจุบัน  ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องกระจกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา  สิ่งที่น่าสนใจคือพระราชวังแห่งนี้ไม่มีห้องน้ำ  ดังนั้นในอดีตบรรดาชนชั้นสูงจึงต้องไปทำธุระตามสนามหญ้า
*  หลังจากทวีปยุโรปประกาศใช้เงินยูโรร่วมกันเพียงสกุลเดียว  พบว่า  ประเทศฝรั่งเศสเป็นเมืองที่มีสินค้ามีราคาแพงมากที่สุด  โดยแพงกว่าสเปนถึงประมาณ 10%    ด้านหลังของเหรียญยูโรพิมพ์รูปเดียวกันทั้งหมด  ส่วนด้านหน้าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ
*  พิพิธภัณธ์ลูฟวร์ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส  มีผู้เข้าชมถึงปีละ 8.3 ล้านคน  มีงานศิลปะอยู่มากกว่า 35,000 ชิ้น  หากจะดูงานศิลปะเหล่านี้ชิ้นละ 1 นาที จะต้องใช้เวลาทั้งหมดถึง 4 เดือนจึงจะดูครบหมดทุกชิ้น
*  งานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ลูฟวร์คือ ภาพวาดโมนาลิซาของเลโอนาร์โด ดา วินชี
หนังสือชื่อ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในฝรั่งเศส” โดย Kim Youn-Su ภาพประกอบโดย Kang Gyung-Hyo แปลโดย กัญญารัตน์ จิราสวัสดิ์ การ์ตูนความรู้นานมีบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 14 มกราคม 2556 192 หน้า ราคา 165 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในฝรั่งเศส” ได้ที่ https://goo.gl/SMyTqp

การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสอนอะไรเราบ้าง?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 378 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ตามรอยพระยุคลบาท ครูแห่งแผ่นดิน”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวมคำบรรยายของดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ผู้มีโอกาสได้เข้าถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524
เนื้อหาโดยรวมกล่าวถึงหลักการการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ตลอดจนพระจริยวัตรที่น่าซาบซึ้งประทับใจที่ดร.สุเมธได้สังเกตมาตลอดเวลาที่ได้ถวายงาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง “สอนด้วยการไม่สอน”  แต่ทรงทำให้ดูอย่างแจ่มแจ้ง  โดยงานทุกโครงการที่ทรงทำจะทรงศึกษาค้นคว้ามาก่อนอย่างละเอียดรอบคอบจนมั่นใจแล้วจึงทรงลงมือทำ  ผู้ใดได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะเห็นด้วยกับดร.สุเมธว่า ทรงเป็น “ครูแห่งแผ่นดิน” ที่แท้จริง
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักแผ่นดิน ทรงรักประชาชน ทรงทำทุกอย่างให้แผ่นดินไทย ให้ประชาชนชาวไทย  ขณะที่เสด็จฯแปรพระราชฐาน ได้ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ของประชาชน  ทรงรับฟังปัญหาจากปากคำของพสกนิกรด้วยพระองค์เอง  และทรงเข้าไปแก้ไข ไม่ทรงวางเฉย
*  แม้เมื่อทรงประทับอยู่ที่ร.พ.ศิริราช ก็ทรงติดตามงานในทุกเรื่องและทุกด้านตลอดเวลาทุกวัน  ครั้งใดที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ ไปยังพื้นที่ใดก็ทรงกลับมากราบบังคมทูลรายงาน  พระองค์ก็จะมีรับสั่งแนะนำตลอด
*  ส่วนงานอื่น ๆ ก็จะทรงใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือในการติดตามงานและทรงเรียกข้อมูลมาดูได้ตลอดเวลา
*  หลักการสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ  จะทรงเน้นการปฏิบัติให้ลูกศิษย์ดู และจูงใจนักเรียนให้มาสนใจ  แต่ไม่เคยทรงสั่งหรือทรงบังคับให้ทำ  จะทรงสอนอย่างละเอียดให้เข้าใจทุกแง่มุม และที่สำคัญทรงเน้นเสมอว่า การสอนควรยึดรากฐานเดิมของสังคมไทยไว้  ไม่ควรคัดลอกจากต่างประเทศมากเกินไป
*  ทรงสอนในเรื่องของแผ่นดิน สอนให้รู้จักและเข้าใจธรรมชาติ สอนให้รู้จักการใช้ชีวิต  สอนให้ทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น  ทรงสอนในสถานที่ที่ปฏิบัติจริงทั้งสิ้น
*  เมื่อคนไทยถวายพระราชสมัญญานามว่า ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินนั้น ก็เปรียบเสมือนคนไทยทุกคนเป็นศิษย์  แต่ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ที่แย่  คือ “ชอบเห็นพระเจ้าอยู่หัวแต่ไม่เคยมองพระเจ้าอยู่หัว  ชอบได้ยินพระเจ้าอยู่หัวตรัสแต่ไม่เคยฟัง”
*  ในฐานะที่พระองค์ทรงสอนมา 60 กว่าปี  จริงอยู่มีหนังสือหรือเอกสารเกี่ยวกับพระราชดำริและบทพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ มากมาย  แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะอ่านและอ่านด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
*  ครั้งที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อหลายปีก่อน  ขณะนั้นน้ำไม่ได้พรวดพราดมา  แต่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเป็นวันกว่จะถึงกรุงเทพ  แต่ขณะนั้นดูเหมือนว่าหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจ  ล้วนอยู่ในสภาวะเฉย ๆ  แต่ในฐานะที่ทรงเป็นผู้รู้เพราะว่ากรมอุตุนิยมวิทยาจะต้องถวายรายงานถวายข้อมูลทุก 10 ชั่วโมง  ทรงตระหนักว่าเป็นเรื่องด่วน
*  แต่ทรงระมัดระวังมาก  โดยฐานะของพระองค์นั้นไม่ทรงมีสิทธิ์ที่จะไปสั่งการหน่วยงานราชการซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล
*  จึงทรงใช้วิธีเรียกอธิบดีกรมชลประทานและคนที่เกี่ยวข้องมากลุ่มหนึ่ง  ให้ดูภาพจากโทรทัศน์ที่อัดเทปไว้ แล้วก็ทรงไล่ถาม  เป็นไงสถานการณ์น้ำ  เมื่อน้ำไหล ไหลมานาทีละกี่เมตร  กี่วันจะถึง อีกกี่ชั่วโมงจะถึง  เป็นการสอนทางอ้อมเพื่อให้เกิดความรู้สึก เกิดความเข้าใจว่า สถานการณ์ภัยอันตรายมาถึงแล้ว ทำไมไม่ตื่น
*  ในวันนั้นหน่วยราชการได้กล่าวว่า พรุ่งนี้ข้าพระพุทธเจ้าจะไปดำเนินงาน  พระองค์ก็ตรัสถามว่า น้ำหยุดแล้วหรือ  ไปเดี๋ยวนี้แหละ คืนนี้เลย  น้ำไม่ใช่ว่าเริ่มไหลเวลาแปดโมงครึ่งแล้วก็สี่โมงครึ่งหยุดพักตามริมตลิ่ง
*  ผู้เขียนเองก็เคยถูกพระองค์ทรงสั่งสอนเช่นเดียวกัน  รับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าฯ ในวันศุกร์  พระองค์ตรัสว่า ที่ตรงนี้ที่ตรงนั้นเขาอดอยากอยู่  ผมกราบบังคมทูลว่า  เดี๋ยววันจันทร์ข้าพระพุทธเจ้าจะรีบไปพระพุทธเจ้าข้า  พระองค์รับสั่งทันทีว่า  ความทุกข์ความทรมานไม่มีวันหยุดหรอก  เขาทุกข์เดี๋ยวนี้  ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย
หนังสือชื่อ “ตามรอยพระยุคลบาท ครูแห่งแผ่นดิน” โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล  สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2556  212 หน้า ราคา 120 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” นั้นเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวงและเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ตามรอยพระยุคลบาท ครูแห่งแผ่นดิน” ได้ที่ https://goo.gl/j7m876

อยากเรียนรู้เกี่ยวกับแม่น้ำโขงและวัฒนธรรมร่วมของไทยและเพื่อนบ้าน?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 377 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “สายลับภูตอาเซียน  ภารกิจที่ 1  พญานาคแม่น้ำโขงโยงสัมพันธ์ไทย-ลาว”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้อยู่ในซีรี่ส์การ์ตูนความรู้ในหมวดอาเซียนและสังคมศึกษา  แต่นำเสนอในรูปแบบนิยายแฟนตาซีสืบสวนสอบสวน
นอกจากตัวละครในนิยายจะนำเสนอเรื่องน่ารู้ของอาเซียนผ่านบทสนทนาและการดำเนินเรื่องแล้ว  ยังมีบทความสั้น ๆ พร้อมภาพประกอบให้ความรู้ผู้อ่านอย่างละเอียดแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ ตลอดเล่มด้วย
เล่มนี้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาว  ที่มีแม่น้ำโขงและตำนานเรื่องพญานาคเป็นตัวเชื่อม  เนื้อเรื่องอ่านง่าย  เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี จะเป็นวันที่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคบริเวณแม่น้ำโขง  มองเห็นจากทั้งฝั่งไทยและลาว
*  คำว่า “นาค” ปรากฏบ่อยในวรรณคดีอินเดียและวรรณคดีของแถบอาเซียน  รากศัพท์จริง ๆ ของ นาค แปลว่า “เปลือย”  อาจจะมาจากลักษณะตามธรรมชาติของงูที่มนุษย์รู้สึกว่าเปลือยเพราะไม่มีขนปกคลุมเหมือนสัตว์อื่น ๆ  จึงมีการเรียกงูว่า “นาค”
*  นอกจากนี้ คำว่า นาค ยังหมายถึง ช้าง ผู้เจริญ ชาวป่าล่าหัวมนุษย์ รวมไปถึงเจ้าผู้ครองบาดาลและเป็นเจ้าแห่งฟ้าและฝนด้วย
*  ตำนานของไทย, ลาว, พม่า และกัมพูชา  ในเรื่องที่เกี่ยวกับกำเนิดเวียงจันทน์, กำเนิดหงสาวดี และกำเนินกรุงกัมพูชา ล้วนมีพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
*  นาค เป็นคำเรียกผู้ที่จะบวชเป็นพระ  ตามตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีพญานาคแปลงเป็นคนเพื่อมาบวชเป็นพระ  ภายหลังถูกจับได้จึงถูกให้ลาสิกขา  แต่ด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา  พญานาคจึงขอร้องต่อพระพุทธเจ้าว่า แม้นาคจะบวชไม่ได้  แต่ต่อไปภายหน้าขอให้ผู้ที่กำลังจะบวชนั้นถูกเรียกว่า “นาค”
*  ประเพณีไหลเรือไฟ คือประเพณีที่ชาวไทย-ลาว ผู้อาศัยริมสองฝั่งแม่น้ำโขงจัดขึ้นทุกปีในวันออกพรรษา  มีการปล่อยเรือหรือแพที่จุดไฟไว้บนโครงไม้ไผ่เป็นลวดลายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาซึ่งเรียกกันว่า เรือไฟ ให้ลอยไปตามสายน้ำ  เรือไฟนิยมสร้างให้รูปร่างเหมือนพญานาค
*  แม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนินจากเทือกเขาหิมาลัย  ไหลผ่านทางตอนใต้ของจีนลงมาสู่อาเซียน  ในบรรดา 10 ประเทศของอาเซียนมีถึง 5 ประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน  เรียงลำดับตามการไหลของน้ำคือ เมียนมาร์ ไทย ลาว กัมพูชา และผ่านเวียดนามก่อนไหลออกสู่ทะเลจีนใต้
*  เมียนมาร์ ลาว และไทย เรียกแม่น้ำโขงว่า แม่น้ำโขง หรือ แม่ของ (เพี้ยนมาจากภาษามอญว่า โคลัง หรือ คลอง ที่หมายถึง ทางคมนาคม) กัมพูชาเรียกว่า ตนเลธม (แม่น้ำใหญ่)  และเวียดนามเรียกว่า กิ๋วล่อง(เก้ามังกร)
*  จนถึงปี 2556 มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวถึง 4 แห่งแล้ว  ได้แก่  1) ระหว่างจ.หนองคายกับเวียงจันทน์  2) ระหว่างจ.มุกดาหารกับแขวงสะหวันนะเขต  3) ระหว่างจ.นครพนมกับแขวงคำม่วน  และ  4) ระหว่างจ.เชียงรายกับแขวงบ่อแก้ว
หนังสือชื่อ “สายลับภูตอาเซียน  ภารกิจที่ 1  พญานาคแม่น้ำโขงโยงสัมพันธ์ไทย-ลาว”” โดย ธนพล ฟักสุมณฑา และ เถลิงศักดิ์ หลวงสาร สำนักพิมพ์ EQ Plus  มีนาคม 2556  168 หน้า  ราคา 169 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ  โดยผู้วิจารณ์เลือกหนังสือมาเขียนถึงเองโดยอิสระ  ไม่ได้รับจ้างจากสำนักพิมพ์ใด ๆ
เพจ “ดร.ณัชร” เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง  และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวไทย
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “สายลับภูตอาเซียน  ภารกิจที่ 1  พญานาคแม่น้ำโขงโยงสัมพันธ์ไทย-ลาว” ได้ที่ https://goo.gl/oDZWUp

อยากได้สูตรอาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือดพร้อมกับอ่านวรรณกรรมวัยรุ่นแนวฟรุ้งฟริ้งไปด้วย?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 375 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “Shin & Minna ตอน กรุ๊ปเลือดกับสารพัดอาหาร”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้ทำเอาผู้วิจารณ์มึนไปทีเดียวเพราะว่าไม่ทราบจะจัดหมวดหมู่อย่างไรดี  ปกติเวลารีวิวหนังสือการ์ตูนความรู้นั้นหัวข้อหลักจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เช่น ประวัติศาสตร์  วิทยาศาสตร์  เศรษฐศาสตร์ หรือประวัติบุคคลสำคัญเป็นต้น
เล่มนี้เป็นทั้งการ์ตูนที่มีเนื้อเรื่องเป็นนิยายแนววัยรุ่นกุ๊กกิ๊ก  แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้เรื่องอาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือดต่าง ๆ พร้อมสูตรการทำ  แถมในตัวนิยายก็มีเนื้อเรื่องสอนใจที่ชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นควรมีพฤติกรรมอย่างไร จะรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงอย่างไรด้วย
สงสัยสมัยนี้ทุกอย่างคงจะเป็น fusion กันหมดไม่ว่าอาหารการกินหรือวรรณกรรม  แต่ก็สรุปว่าเนื้อหามีประโยชน์เหมาะกับทุกวัย
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  เลือดแต่ละกรุ๊ปมีความแตกต่างของไบโอเคมิคัล (biochemical) โดยเฉพาะ Antigen ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันเซลล์เลือด  ประกอบไปด้วยโซ่น้ำตาลที่ต่างกันในแต่ละกรุ๊ป  และเป็นตัวการให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างเลือดและอาหาร  ดังนั้นถ้าทานอาหารได้ตามหมู่เลือดจะดีมาก
*  เลือดกรุ๊ป O เป็นเลือดของกลุ่มมนุษย์กลุ่มแรกที่ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์  จึงทำให้น้ำย่อยของคนกรุ๊ปนี้มีความเป็นกรดสูง  เหมาะกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์  แต่ก็ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันมากเกินไป
*  คนกรุ๊ป O มีปัญหาเรื่องระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่คงที่ ทำให้อ้วนง่าย  ถ้าต้องการลดความอ้วนต้องงดคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง และน้ำตาล  และควรทานอาหารทะเลที่มีไอโอดีนสูงเพื่อป้องกันโรคไทรอยด์
*  เลือดกรุ๊ป A เป็นเลือดของกลุ่มมนุษย์ในยุคถัดมาที่เริ่มมีการทำการเกษตร  เข้าสู่ยุคแห่งการปลูกผัก ผลไม้ ทำสวน  ไม่ได้ออกไปล่าเนื้อมากเหมือนแต่ก่อน  ร่างกายคนเลือดกรุ๊ป A จึงไม่ต้องการโปรตีนมากเหมือนคนยุคก่อน  อาหารที่จำเป็นก็กลายเป็นพวกปลาและพืชผักต่าง ๆ แทน
*    คนเลือดกรุ๊ป A ย่อยเนื้อได้ไม่ค่อยดี  หากกินเนื้อสัตว์บ่อย ๆ จะทำให้เลคตินเกาะติดเลือดจนเลือดหนืด ไหลเวียนช้า เกิดเป็นโรคหัวใจได้  ควรรับโปรตีนจากปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และถั่วเหลืองแทน
*  เลือดกรุ๊ป B เป็นเลือดของกลุ่มมนุษย์ในยุคของการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์  จึงเริ่มมีการปรับสมดุลของร่างกาย  มีการทานอาหารได้หลากหลายมากขึ้น  นอกจากผักแล้วยังต้องกินเนื้อสัตว์หรือนมเนยจากฝูงสัตว์ที่เลี้ยงด้วย
*  ถึงแม้คนเลือดกรุ๊ป B จะมีความยืดหยุ่นในการรับประทานอาหารสูง  แต่เป็นกรุ๊ปที่อ้วนง่ายและภูมิคุ้มกันบกพร่องง่ายด้วย  สำหรับผู้ควบคุมน้ำหนักไม่ควรทานมะเขือเทศ ข้าวโพด และงา เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและการเผลาผลาญอาหาร
*  เลือดกรุ๊ป AB เป็นกรุ๊ปเลือดที่เกิดหลังสุด  ซึ่งค้นพบเมื่อ 1,500-1,000 ปีมานี้เอง  เป็นกรุ๊ปเลือดที่มีจำนวนน้อยกว่ากรุ๊ปอื่น ๆ  ระบบการย่อยจะซับซ้อนกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะมีลักษณะของกรุ๊ป A และกรุ๊ป B  ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก  ควรทานอาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ โยเกิร์ต ส้มโอ องุ่น
*  คนเลือดกรุ๊ป AB ทานเนื้อสัตว์ได้น้อยกว่ากรุ๊ป B แต่ไม่ต้องทานมังสวิรัติมากเท่ากรุ๊ป A  ควรงดอาหารพวกหมักดอง เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ  คนเลือดกรุ๊ปนี้ควรระวังปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน มะเร็ง และโรคหัวใจ
*  =หมายเหตุ= ในเล่มมีสูตรอาหารพร้อมวิธีทำแบบง่าย ๆ สำหรับคนแต่ละกรุ๊ปเลือด
หนังสือชื่อ “Shin & Minna ตอน กรุ๊ปเลือดกับสารพัดอาหาร” โดย C3 Studio บริษัท ไอดีซี พรีเมียร์ จำกัด  2558  160 หน้า  ราคา 175 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “Shin & Minna ตอน กรุ๊ปเลือดกับสารพัดอาหาร” ได้ที่ https://goo.gl/mjFpZO

อยากเป็นเจ้าของธุรกิจหรือมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 374 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ทำธุรกิจ คิดเยอะ จึงเหนื่อยน้อย”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้มุ่งเขียนให้เจ้าของธุรกิจทั้งมือใหม่และมือเก่าอ่านก็จริง  แต่ผู้เขียนก็ได้ให้คำแนะนำที่มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้ด้วย
เนื้อหาในเล่มแบ่งเป็น 1) คิดบริหาร  2) คิดการตลาด  3) คิดสร้างสรรค์  และ  4) คิดสำเร็จ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ “วิธีคิด” ของผู้เขียน ที่มีความเข้าใจเรื่องการบริหารธุรกิจโดยเฉพาะการตลาดอย่างลึกซึ้ง  จึงสามารถอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบการทำธุรกิจกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างน่าสนใจ
ผู้เขียนเป็นผู้ใฝ่รู้และเป็นนักอ่าน  ดังนั้นจึงมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาเล่าหลายเรื่อง  โดยเฉพาะครึ่งหลังของเล่ม
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*   การทำทุกอย่างจากคุณค่าและจุดแข็งที่มีนั้นง่าย  และยากที่ใครจะมาเอาชนะได้  (ในเล่มมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากจากประเทศไอซ์แลนด์และฟิลิปปินส์อยู่ช่วงท้ายเล่ม)
*  สิ่งสำคัญที่สุดที่เจ้าของกิจการมักมองข้ามก็คือ แบรนด์ที่ตนสร้างต้องสะท้อนตัวตนของเจ้าของแบรนด์ออกมาให้มากที่สุด  ถ้าสร้างแบรนด์ไม่ตรงกับลักษณะนิสัยของเจ้าของ นานไปแบรนด์อิมเมจของสินค้าจะเริ่มเละ
*  แบรนด์ที่ชัดเจนที่สุดแบรนด์หนึ่งคือภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007  เพราะมีความสม่ำเสมอ (brand consistency) สูงมากและสามารถรักษามาได้นานกว่า 5 ทศวรรษ
*  การสร้างแบรนด์สตอรี่นั้นเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้  ไม่จำเป็นว่าต้องสร้างในธุรกิจใหม่เท่านั้น  แบรนด์สตอรี่คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างและยั่งยืน  ดังนั้นจงลงทุนกับการสร้างแบรนด์สตอรี่มากกว่าการทำโปรโมชั่น
*  หลักการพัฒนาศักยภาพมนุษย์นั้นเหมือนกับทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence)  คือ มนุษย์นั้นมีความฉลาดทั้งหมดด้วยกัน 8 ด้าน  เราต้องพัฒนาตัวเองจากด้านที่เรามีศักยภาพโดดเด่น เพราะจะช่วยดึงด้านที่ด้อยให้พัฒนาตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ
*  การที่เราลงทุนกับการปิดข้อด้อยหรือพัฒนาจุดด้อยเราขึ้นมานั้นต้องใช้เวลาและต้นทุนมากกว่าปกติถึง 30 เท่าเมื่อเทียบกับการพัฒนาตัวเองจากจุดแข็งเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเดียวกัน
*  คนไทยชอบเอาเวลาไปอุดจุดอ่อน ไม่เสริมจุดแข็ง  เช่น พ่อแม่มักพาลูกไปเรียนพิเศษในวิชาที่ลูกได้คะแนนไม่ดี แต่กลับไม่ส่งเสริมลูกไปในทางที่เขาถนัด
*  ทุกวันนี้คุณมีลูกค้ากี่ประเภท?  (ในเล่มจะแจกแจงลักษณะลูกค้าประเภทต่าง ๆ อย่างละเอียดพร้อมวิธีส่งเสริมการขายที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภท)
*  ในเล่มแจกแจงลักษณะการคิดประเภทต่าง ๆ ไว้มากมาย และมีการแนะนำการจัดความคิดให้เป็นระบบเพื่อประโยชน์สูงสุดไว้ดังนี้  1) บันทึกความคิดไว้ให้ได้มากที่สุด  2) เรียบเรียงให้เป็นหมวดหมู่  3) มอบหมายงาน  4) โฟกัส
*  คิดได้ร้อยอย่าง ทำไม่ได้สักอย่าง ผลลัพธ์คือศูนย์  คิดได้อย่างเดียว ทำออกมาได้อย่างเดียว ผลลัพธ์คือหนึ่ง
*  เราต้องรู้จักอดทนรอความสำเร็จให้ได้  ในยุคนี้ทุกคนเริ่มไม่คุ้นกับการอดทนรอ  ทุกอย่างต้องเป็นอะไรด่วน ๆ สำเร็จเร็ว รวยง่าย  การรู้จักรอจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ
*  อย่าคิดเปรียบเทียบหรือพยายามเลียนแบบความสำเร็จของคนอื่น  ความฝันที่ดีที่สุดคือความฝันที่เหมาะกับธรรมชาติของตัวเรา  นี่คือเคล็ดลับที่ทุกคนมักลืมและมองข้าม
*  การฝึกทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นพื้นฐานของการพัฒนาศักยภาพของคนเรา  เพราะถ้าเราพื้นฐานไม่ดี การจะทำอะไรในขั้นตอนต่อไปที่ยากขึ้นก็จะลำบากมาก  เราจึงไม่เคยเห็นคนที่พื้นฐานไม่ดีแต่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศใด ๆ ได้
หนังสือชื่อ “ทำธุรกิจ คิดเยอะ จึงเหนื่อยน้อย” โดย ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์  เจ้าของเพจ Trick of the Trade Amarain How To ธันวาคม 2558  159 หน้า ราคา 189 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ทำธุรกิจ คิดเยอะ จึงเหนื่อยน้อย” ได้ที่ https://goo.gl/hajwNc