วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คำว่าโลกว่าง จิตว่าง ที่ท่านพุทธทาสชอบพูดถึงคืออะไร?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 348 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ความว่างที่พระพุทธเจ้าตรัส”



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดี ๆ นี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม
เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายท่านพุทธทาสแสดงไว้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2510
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*   ในเมืองไทยยังมีการสอนกันผิด ๆ ว่าคำว่า “ว่าง” ในทางธรรมนี้หมายถึงสูญเปล่า ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร
*  ความจริงในบาลีมีคำอธิบายเป็นคำนิยามชัดอยู่แล้ว เช่น ที่ว่าโลกนี้ว่าง ก็เพราะว่างจากส่วนที่ควรถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
*  ถ้าจะพูดเสียใหม่ไม่ให้กำกวมก็จะได้ว่า  “ทุกสิ่งไม่มีอะไรที่ควรถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา”
*  “ว่าง” นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรให้เรากิน ให้เราใช้ ให้เราอยู่ ให้เราดู  ไม่ใช่อย่างนั้น  มันมีครบทุกอย่าง  แต่ไม่มีส่วนไหนที่ควรถือว่าคือตัวเรา หรือ ของเรา
*  ชีวิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ชีวิตของเรา  ต่อเมื่อศึกษาจนรู้จึงรู้ว่า ที่คิดนึกได้นั้นก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่รู้จักคิดนึกได้  แต่ไม่ใช่ตัวเรา เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นเอง  มันสมองที่เป็นสำนักงานก็ดี จะเป็นตัวจิตที่มองไม่เห็นก็ดี มารวมกันแล้ว  มันทำหน้าที่คิดนึกได้ทั้งสองอย่าง  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ตัวเรา
*  จิตว่าง คือ จิตที่ไปรู้ความจริงข้อนี้เข้าว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นเรา เป็นของเราได้  รู้อย่างนี้จิตก็ว่างจากความสำคัญมั่นหมาย หรือ ว่างจากอุปาทาน
*  จิตว่างนั้นไม่ใช่ไม่คิดไม่นึก  เพราะตามธรรมชาติของจิตย่อมคิดนึกรู้สึกอะไรอยู่แล้ว    จิตว่างในความหมายที่ 2 คือ จิตที่ไม่ได้สำคัญมั่นหมายยึดถืออะไรว่าเป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา
*  เอาเรื่อง โลกว่าง กับ จิตว่าง นี้มารวมกันเข้า ก็เป็นเรื่องความว่างโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่า สุตตันตะ ที่เนื่องเฉพาะด้วยสุญญตา
*  ส่วนการปฏิบัติให้เห็นว่าว่างนั้น  ต้องสังเกตเรื่องนี้ไปจนพบว่าอย่างไรเรียกว่ายึดถือ อย่างไรเรียกว่าไม่ยึดถือ  เท่านี้ก็ใช้เวลาตั้งเดือนหรือปีหนึ่งด้วยซ้ำไป  พอเห็นความยึดถือของตนแล้วก็สะดุ้ง  เท่านี้ก็พอแล้ว
*  ยึดถือ ก็คือ จิตไปยึดเป็นตัวตน มีตัวเราขึ้นมา  ไปรักอะไร เกลียดอะไร แล้วเกิดมีตัวเราขึ้นมา
*  สัมมาทิฏฐิไม่ได้ทำให้เกียจคร้าน  ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้ว จะไม่ทำให้มีความรู้สึกเกียจคร้าน หรือไม่เกิดความรู้สึกอย่างที่พวกอันธพาลเข้าใจว่า ทำงานไปโดยไม่มีความอยาก ก็เลยไม่ทำอะไรเสีย  คนค้านอย่างนี้ค้านอย่างอันธพาล
*  ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้ว่า ควรทำอย่างนั้น ควรใช้อย่างนั้น เพื่อประโยชน์อย่างนั้น
*  เราทำงานเพื่อประโยชน์แก่งานนี้  แม้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ทำนั้นด้วย เราก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องมุ่งหมายโดยตรง แต่เป็นเรื่องผลพลอยได้  ถ้าได้เงิน ได้ชื่อเสียงอะไรมาก็ให้ถือว่าเป็นการได้เครื่องมือสำหรับทำงานให้ยิ่งขึ้นไป
*  ทำงานเพื่องานนี้เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง  ทำโดยไม่ต้องมีอะไรที่เป็นตัวเราของเรา  เป็นเรื่องจำเป็นมากที่จะต้องเข้าใจ
*  การทำงานเพื่อสิ่งที่ต้องการนั้นไม่มีที่สิ้นสุด  เรียกว่าการทำงานเพื่อเงิน  เพื่อตัวเราของเรา  ก็เกิดการปะทะเบียดเบียนกัน  ทำงานเพื่อเงิน ภายในจิตใจก็เร่าร้อนเป็นไฟ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
*  มีพระพุทธภาษิตว่า การทำก็ทำไปแล้ว แต่ผู้ทำหามีไม่  เช่น การเดินก็เดินเสร็จไปแล้ว ถึงแล้ว แต่ตัวผู้เดินหามีไม่  เล่าจื๊อก็เคยมีความคิดรูปนี้ แต่มีถึงขนาดของพระพุทธศาสนา
*  ขอให้สังเกตจนจับให้ได้ว่า อย่างไรเรียกว่าทำงานด้วยความรู้สึกสำคัญมั่นหมาย  อย่างไรทำงานเพื่องานบริสุทธิ์  ทำด้วยจิตว่าง
หนังสือชื่อ “ความว่างที่พระพุทธเจ้าตรัส” โดย พุทธทาสภิกขุ  สำนักพิมพ์สุขภาพใจ  สิงหาคม 2552  70 หน้า ราคา 35 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “ความว่างที่พระพุทธเจ้าตรัส” ได้ที่ https://goo.gl/HB7xDg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น