คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดตู้หนังสือ” ตอนพิเศษ วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ซากุระกรรมศาสตร์” ค่ะ
ที่เรียกว่าเป็น “ตอนพิเศษ” ไม่ใส่ลำดับเล่มเหมือนทุกครั้งก็เพราะผู้วิจารณ์เคยเขียนถึงเล่มนี้ไปนานมากแล้วแต่เป็นการสรุปสั้นๆเพียงย่อหน้าเดียว พอดีสัปดาห์หน้าจะนำเล่มนี้ไปเป็นหนึ่งในหนังสือแนะนำออกรายการ “รักลูกให้ถูกทาง” เลยหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ จึงคิดจะนำมาฝากสมาชิกเพจทุกท่านไปพร้อมกันค่ะ
=ภาพรวม=
ถึงแม้ผู้เขียนจะออกตัวว่านี่คือเบื้องหลังไอเดียการออกแบบเทคโนโลยีและรูปลักษณ์ของสินค้าญี่ปุ่น แต่ผู้วิจารณ์กลับพบว่า “ซากุระกรรมศาสตร์” อัดแน่นไปด้วยความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมและชีวิตจิตใจของชาวญี่ปุ่นในแง่มุมที่ลึกซึ้งและอ่านสนุกอย่างคาดไม่ถึงค่ะ จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือผู้แต่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรค์สร้างนวัตกรรมญี่ปุ่นเป็นผู้ที่ทั้ง “รู้ลึก” และ “รู้กว้าง” จึงสามารถยกตัวอย่างได้มากมายมหาศาลพร้อมแย้มพราย “เบื้องหลัง” ที่มาที่ไปของสินค้าและบริการต่างๆได้อย่างละเอียดน่าติดตามชนิดวางไม่ลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มาการออกแบบสุขาไฮเทค รถญี่ปุ่น แฟชั่นเสื้อผ้า อาหาร ของใช้สารพัดสไตล์ญี่ปุ่น ฯลฯ
=ตัวอย่างเรื่องน่าสนใจ=
* ธรรมเนียมญี่ปุ่นมักมองข้าวของเครื่องใช้เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติต่อมันอย่างทนุถนอมและรู้บุญคุณ แม้ของเล็กๆอย่าง“เข็มเย็บผ้า” เมื่อโดนใช้งานอย่างตรากตรำจนถึงเวลาจะ“เกษียณ”แล้ว คนญี่ปุ่นก็จะนำเข็มไปปักบน “เต้าหู้นิ่มๆ”ก่อน เพื่อให้เข็มได้ “พักผ่อนอย่างสบาย” หลังจากทนทิ่มตำสิ่งต่างๆมาตลอดอายุการใช้งานค่ะ
* ใครว่าหม้อหุงข้าวมีหน้าที่แค่หุงข้าวสารให้สุก? ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของนวัตกรแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง หม้อหุงข้าวญี่ปุ่นมีสูตรทำอาหารให้เลือกใช้ได้ถึง 100 สูตรทีเดียว
* “เทคโนโลยี” กับ “ความสามัคคี” ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงญี่ปุ่นทั้งคู่ใช่ไหมคะ? เมื่อนำมารวมกันก็จะได้ผลิตภัณฑ์อย่างเช่น “Thanks Tail” หรือ สิ่งประดิษฐ์ที่ไว้ติดกับรถเพื่อให้ส่งสัญลักษณ์แสดงความขอบคุณเพื่อนร่วมทางบนถนนที่ให้ทางกับเราไงคะ การมีรถที่คอยขอบคุณกันและกันเสมอนั้นน่าจะทำให้การเดินทางน่ารื่นรมย์ขึ้นอีกมากนะคะ
* นอกจากคำว่า “ขอบคุณ” แล้ว คนญี่ปุ่นก็มักแสดงความเกรงใจกันด้วยคำว่า “ขอโทษ” จนติดปากค่ะ ดังนั้นจึงมีผู้ผลิตกระดิ่งจักรยานที่ผลิตเสียงน่ารักๆอย่าง “ปิ๊ง ป่อง” แทนเสียงปกติแกร๊งๆแสบแก้วหูผู้อื่นพร้อมกระดิ่งก็ออกเสียงให้เสร็จว่า “ขอโทษๆขอทางหน่อยนะคะ”
* แม้แต่ของใช้แสนธรรมดาอย่างรองเท้าแตะที่ใส่ในบ้านก็ขอมีส่วนร่วมทำให้คนสมัครสมานปรองดองกันด้วย จากเดิมรองเท้าแตะเมื่อเดินลากไปกับพื้นจะส่งเสียง “แกรก แกรก” คนญี่ปุ่นก็คิดว่าจะไปรบกวนผู้ที่อาศัยห้องด้านล่างได้ จึงประดิษฐ์รองเท้าแตะที่ไม่ก่อให้เกิดเสียงดังเวลาเดินขึ้นมาค่ะ
* ไม่เพียงแต่รองเท้าแตะที่ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่นนะคะ แต่ญี่ปุ่นยังมี “คุ้กกี้รองท้องเพื่อกันไม่ให้เกิดเสียงท้องร้องรบกวนผู้อื่นในห้องประชุม” “แฟ้มเอกสารที่ไม่ส่งเสียงเวลารบกวนผู้อื่นเวลาเปิดปิด” ไปจนถึง “คีย์บอร์ดและเม้าส์ที่ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น” อีกด้วยค่ะ
* สินค้าสมัยนี้ต้องต้องมี “คุณค่าเกินคาดแถมให้ด้วย” หรือที่ในเล่มเรียกว่า “Plus Sum” ค่ะ เช่น
1) เครื่องฟอกอากาศที่เพิ่มอ๊อกซิเจนหรือสารอื่นๆที่ดีต่อร่างกายเพิ่มเข้าไปด้วยนอกจากกรองสิ่งสกปรกจากอากาศเฉยๆ
2) โน้ตบุ๊คที่ปล่อยประจุลบออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดและอ่อนล้าจากการทำงาน
3) เครื่องปรับอากาศที่เพิ่มโอโซนเข้าไปทำให้ทำงานได้มีสมาธิมากขึ้นและสมองคำนวณผิดพลาดน้อยลง(!)
4) เครื่องปรับอากาศที่ปล่อยสารที่ฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณ
5) ตู้เย็นที่เพิ่มวิตามินซีและคลอโรฟิลล์ให้แก่ผักและผลไม้ที่บรรจุไว้ภายใน และ
6) ถุงน่องที่มีสารบำรุงผิวบำรุงสุขภาพอีกด้วยค่ะ
1) เครื่องฟอกอากาศที่เพิ่มอ๊อกซิเจนหรือสารอื่นๆที่ดีต่อร่างกายเพิ่มเข้าไปด้วยนอกจากกรองสิ่งสกปรกจากอากาศเฉยๆ
2) โน้ตบุ๊คที่ปล่อยประจุลบออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดและอ่อนล้าจากการทำงาน
3) เครื่องปรับอากาศที่เพิ่มโอโซนเข้าไปทำให้ทำงานได้มีสมาธิมากขึ้นและสมองคำนวณผิดพลาดน้อยลง(!)
4) เครื่องปรับอากาศที่ปล่อยสารที่ฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณ
5) ตู้เย็นที่เพิ่มวิตามินซีและคลอโรฟิลล์ให้แก่ผักและผลไม้ที่บรรจุไว้ภายใน และ
6) ถุงน่องที่มีสารบำรุงผิวบำรุงสุขภาพอีกด้วยค่ะ
=สรุป=
แน่นอนค่ะ ไม่มีสังคมใดที่ไม่มีแง่ลบเลย ผู้วิจารณ์พบว่าผลิตภัณฑ์บางอย่างในเล่มนี้ก็ให้ความรู้สึก “อ้างว้าง” นะคะ เช่น ซีรี่ส์ DVD ชื่อ “ทานข้าวด้วยกันไหม” สำหรับผู้ที่เหงาหรือเบื่อที่จะต้องทานข้าวคนเดียวที่บ้าน โดยสามารถกดปุ่มเลือกได้ว่าต้องการมีเพื่อนแบบไหนมาทานข้าวเมนูไหนเป็นเพื่อนค่ะ
แต่โดยภาพรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้เปิดหูเปิดตาเปิดมุมมองในเรื่อง “วิธีคิด วิธีสร้างสรรค์” ของคนญี่ปุ่นมากค่ะ จึงเหมาะไม่แต่เพียงสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน แต่เหมาะกับเยาวชนของเราโดยทั่วไปด้วย ไม่จำเป็นเฉพาะกับผู้ที่จะเรียนวิศวกรรมหรือออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้นค่ะ
แต่โดยภาพรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้เปิดหูเปิดตาเปิดมุมมองในเรื่อง “วิธีคิด วิธีสร้างสรรค์” ของคนญี่ปุ่นมากค่ะ จึงเหมาะไม่แต่เพียงสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน แต่เหมาะกับเยาวชนของเราโดยทั่วไปด้วย ไม่จำเป็นเฉพาะกับผู้ที่จะเรียนวิศวกรรมหรือออกแบบผลิตภัณฑ์เท่านั้นค่ะ
ท่านอาจจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพียงเพราะอยากเรียนรู้ “ข้อมูลที่น่าสนใจ” แต่ท่านจะพบว่าเมื่อท่านวางหนังสือลง ท่านจะ “อยากคิดต่อ ด้วยความสนอกสนใจ” ค่ะ ไม่เลวเลยนะคะ
หนังสือชื่อ “ซากุระกรรมศาสตร์” แปลจาก Otaku de Onnanoko Na Kuni No Monozukuri ของ Morinosuke Kawaguchi โดย ดร.ปฏิมา สินธุภิญโญ สำนักพิมพ์ส.ส.ท. 2554 184 หน้า ราคา 180 บาท
——————————————————————
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
ขอบคุณรีวิวดีๆจาก ดร.ณัชร สามารถติดตามหนังสือได้ที่ https://goo.gl/fnoiDwtt
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น