คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 40 วันนี้จะมาคุยถึงหนังสือที่อ่านสนุกได้เกร็ดความรู้มากมาย ชื่อ “จงหางานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้”ค่ะ
=ภาพรวม=
เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ที่หนังสือแนวเดียวกันเล่มอื่นๆสู้ไม่ได้เลยก็คือ ผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นักเคราะห์เทรนด์ชื่อดังของเกาหลีได้รับทุนจากสถานีโทรทัศน์ KBS ให้เดินทางไปรอบโลกเป็นเวลาถึง 1 ปีเพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับเทรนด์งานในอนาคตของหนุ่มสาวทั่วโลกค่ะ
ดังนั้นผู้เขียนซึ่งเขียนเล่าเรื่องเก่งระดับเบสต์เซลเลอร์อยู่แล้วด้วยจึงมีข้อมูลดิบที่ใหม่และสดมากมายจากการไปพูดคุยกับหนุ่มสาวในประเทศต่างๆมากกว่า 10 ประเทศและสัมภาษณ์คนในสถาบันการศึกษา แหล่งฝึกงาน ตลอดจนบริษัทชั้นนำยุคใหม่ที่เก๋ไก๋สร้างสรรค์จำนวนมากค่ะ
ทั้งหมดนี้ทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกจนวางไม่ลงทีเดียว เพราะท่านจะรู้สึกว่าได้รับแรงบันดาลใจที่ท่านเองก็นำไปใช้ได้จริงตลอดเล่มค่ะ ไม่ว่าจะกับตนเองหรือเพื่อลูกหลานวัยรุ่น
=โครงสร้าง=
ในเล่มนำเสนอแนวคิดในการหางานในฝันดังนี้ค่ะ 1) ลดความผิดพลาดในการหางานแล้วไปเจองานที่ไม่เหมาะกับตน ด้วยการหางานวิธีใหม่ 2) สร้างแบรนด์ของตัวเอง 3) ปรับตัวเข้ากับการทำงานโดยเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ 4) คอยตามให้ทันกระแสโลก และ 5) ทำงานอย่างมีความสุขโดยไม่ละทิ้งตัวตน ค่ะ
=ประเด็นน่าสนใจ=
* ยุคนี้ผู้คนไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ต่างจากในอดีตที่แค่มีชีวิตรอดก็พอแล้ว
* นิยามของ “งานที่ดี” นั้นเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แม้แต่งานก็มี “เทรนด์” กับเขาเหมือนกัน
* 80% ของบริษัทญี่ปุ่นและ 50% ของบริษัทในอเมริกาไม่สามารถจ้างพนักงานที่ตรงตามความต้องการของบริษัทได้ ในขณะที่คนหนุ่มสาวก็ไม่เจองานที่ตรงกับความต้องการของตน
* 4 ปีที่ผ่านมา เกาหลีมีพนักงาน 75.4% ที่ลาออกหลังจากทำงานได้เพียง 2 ปีเพราะ “ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับบริษัท และหน้าที่ได้”
* บริษัทชั้นนำ เช่น โคคา-โคล่า หางานผ่าน social network มากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านเวบไซต์อย่าง Linkedin หรือการ ศึกษาพฤติกรรมการใช้ social network ของผู้สมัคร ดังนั้นทุก ๆ โพสต์จึงควรแสดงว่าเราคือใครและมีคุณค่าอย่างไร ไม่ควรโพสต์อะไรไร้สาระเด็ดขาดเพราะนั่นหมายถึงคุณอาจจะพลาดได้งานดี ๆ
* ผลสำรวจนักเรียนมัธยมเกาหลีพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่รู้จักอาชีพเพียง 100 อาชีพ ในขณะที่เกาหลีมีอาชีพมากกว่า 20,000 อาชีพ ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันเป็นยุคของข่าวสาร
* งานในฝันมักมีจุดเริ่มต้นมาจากงานอดิเรกที่เราชอบ เช่น นักศึกษาชาวเวียดนามในอังกฤษที่ชอบทำอาหารเวียดนาม ทานเองเพราะไม่ชอบอาหารฝรั่ง ในที่สุดก็เปิดร้านอาหารแซนด์วิชเวียดนามเพื่อสุขภาพที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาว ลอนดอน
* ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมี ยุโรปมีจำนวนคนทำงานฟรีแลนซ์เพิ่มมากขึ้นราว 15-20% ในขณะที่มนุษย์เงินเดือนเพิ่มขึ้นเพียง 3% เท่านั้น
* ประเทศที่มีจำนวนคนทำงานประเภทฟรีแลนซ์มากขึ้น เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ สามารถพยุงวิกฤติเศรษฐกิจเอาไว้ได้ ส่วนประเทศที่มีฟรีแลนซ์ลดลงอย่างอิตาลีและสเปนกลับมีวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าเดิม
* ผลสำรวจของนิตยสาร Time หลังวิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกาพบว่า ผู้ที่ลงทุนในการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับอาชีพจะสร้างรายได้มากกว่าผู้ที่ลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์
* ในเยอรมันมีระบบการฝึกงานสายอาชีพ (คล้ายปวช.) ที่มีประสิทธิภาพมาก เด็กวัยรุ่นสามารถเริ่มฝึกงานจากบริษัทจริงตั้งแต่อายุ 14 และเมื่อฝึกจบก็จะได้รับการบรรจุงานทันที จึงทำให้อัตราการว่างงานต่ำมากและมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป
* ในเนเธอร์แลนด์ มหาวิทยาลัยกับวงการธุรกิจไม่ได้แยกขาดกัน แต่กลับร่วมมือกันเพื่อช่วยฝึกอาชีพให้คนหนุ่มสาว ศูนย์ฝึกอาชีพจะผลิตคนในสายอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดเท่านั้น
* นักวิจัยคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “..นักเรียนเกาหลีใช้เวลาในโรงเรียนราว 15 ชม.ต่อวันไปอย่างสิ้นเปลือง เพื่อความรู้ที่ไม่จำเป็นต่ออนาคตและเพื่ออาชีพที่ไม่มีตัวตน..” ฟังดูคล้ายในประเทศไทยไหมคะ?
* “…สิ่งสำคัญที่มหาวิทยาลัยควรจะสอนคือ การแนะนำนักศึกษาว่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขหลังเรียนจบได้อย่างไรมากกว่ายึดติดกับการหางานทำเพียงอย่างเดียว…” ตรงนี้ทำให้นึกว่าประเทศไทยเราก็น่าจะบรรจุการฝึกทักษะการเจริญสติเข้าไปในหลักสูตรนะคะเพราะเป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุดแล้วที่จะทำให้เกิดปัญญาและสันติสุขอย่างแท้จริง
* คนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าในญี่ปุ่นกล่าวตรงกันว่า “ถ้ามีฝีมือและความเชี่ยวชาญแล้ว จะอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก” ดังนั้นเทรนด์ล่าสุดอย่างหนึ่งคือไปเรียนทำซูชิเพื่อออกไปเปิดร้านที่ต่างประเทศ
* “…คนที่ทำงานอย่างมีความสุข แม้จะไม่ได้เงินเดือนสูงในระยะสั้น แต่การทำงานด้วยความสุขสนุกสนานจะทำให้คนเหล่านั้น “เติบโตก้าวหน้า” ในสายงานของตน และประสบการณ์ที่สั่งสมก็จะนำไปสู่ความเชี่ยวชาญ ซึ่งนำมาสู่รายได้จำนวนมากในที่สุด…” ประเด็นนี้ท่านพุทธทาสกล่าวไว้นานแล้วค่ะ
=สรุป=
ในที่สุดแล้ว ผู้วิจารณ์อดคิดไม่ได้ค่ะว่า ผู้ที่มีทักษะการเจริญสติจะเป็นผู้ที่มีทักษะสำคัญสำหรับการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต กล่าวคือ จะรู้จักตนเอง รู้ว่าตนเองชอบอะไร ถนัดอะไร และสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ทำได้ และเมื่อเราสามารถมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ทำได้ เราก็จะสามารถเผื่อแผ่ความสุขไปให้คนอื่นได้ด้วย
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ “สังคมอุดมสติ” แท้ที่จริงก็คือ “สังคมอุดมคติ” นั่นเองค่ะ
ชื่อหนังสือ “จงหางานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้” แปลจาก Future: My Job ของ คิมรันโด และ อีแจฮยอก โดย คุณนาริฐา สุขประมาณ สำนักพิมพ์ springbooks ในเครือ สำนักพิมพ์อมรินทร์ 2557 128 หน้า ราคา 115 บาท
——————————————————————
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ มีขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านค่ะ เด็กสิงคโปร์ และเด็กเวียดนามแต่ละคนอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม ถ้าผู้ใหญ่คนไทยรักการอ่านให้เด็กเห็น เด็กเราก็จะทำได้ทัดเทียมเพื่อนบ้านหรือดีกว่าค่ะ
สามารถติดตามหนังสือเรื่องราวดีๆเล่มนี้ได้ที่ https://goo.gl/FxNLYp
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น