วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 472 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือ ชื่อ “เคล็ดลับเลิกทรมานกับการอ่านหนังสือ”

คุณเคยอยากอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อสอบเลื่อนขั้น หรือไปเรียนเพื่อประกาศนียบัตรวิชาชีพ แต่อ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ “จอด” หรือไม่


=ภาพรวม=
จุดเด่นของหนังสือเล่มเล็กอ่านง่ายนี้อยู่ที่ผู้เขียน ซึ่งเดิมสอบ pre-test ในการเข้ามหาวิทยาลัยได้อยู่ในช่วงคะแนน 0-20% แต่ลุกขึ้นมาฮึดค้นคว้าหาวิธีอ่านหนังสือให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วสอบได้ถึง 881 คะแนนจากคะแนนเต็ม 900 ภายในเวลาเพียง 1 ปี
จนสามารถสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของญี่ปุ่นได้ในที่สุด!
ในเล่มแนะนำเทคนิคต่าง ๆ ไว้ 40 เทคนิค ซึ่งส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาตนเองด้านอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่จำเป็นเฉพาะด้านการอ่านหนังสือ แต่ละเทคนิคอธิบายอย่างง่าย ๆ มีภาพกราฟฟิกน่ารักประกอบ แถมมีสรุปเทคนิคสั้น ๆ ท้ายหัวข้อและท้ายบทให้ด้วย
อ่านได้ตั้งแต่เด็กมัธยมจนถึงผู้ใหญ่
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* หลักการของวิธีการอ่านหนังสือสอบของผู้เขียนก็คือ “ทำยังไงก็ได้ให้เราอ่านหนังสือสอบได้อย่างมีความสุข”
* ถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีคิดและสภาพแวดล้อมให้การอ่านหนังสือเป็นเรื่องสนุกได้ เราก็จะอ่านหนังสือได้อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมชาติ
* การอ่านหนังสือสอบหรือการทำงานอะไรก็ตามให้ประสบความสำเร็จสิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ทำอย่างต่อเนื่อง”
* การอ่านหนังสือเฉพาะหน้าเร่งอ่านเฉพาะก่อนเข้าสอบไม่ได้ช่วยอะไรเลย (การทำงานนาทีสุดท้ายก็เช่นกัน – ผู้วิจารณ์) สิ่งที่ต้องทำคือต้องกดดันตัวเองอย่างเหมาะสม มีวินัย และรู้จักวิธีปลุกไฟในตัวให้ลุกโชติช่วงอยู่เสมอ
* มนุษย์นั้นถ้าสามารถรับรู้ได้ถึงการพัฒนาในตัวเอง ก็จะรู้สึกผ่อนคลายและมีแรงจูงใจที่จะทำอย่างต่อเนื่องเพราะมีฮอร์โมนโดพามีนหลั่งออกมาเมื่อทำอะไรได้สำเร็จ
ดังนั้นขอให้ทำแบบทดสอบก่อนและหลังการอ่านหนังสือด้วยเนื้อหาหนังสือที่จะอ่าน แล้วจดบันทึกลงไปในปฏิทินทุก ๆ วันว่า “วันนี้เราพัฒนาไปได้...คะแนน”
* ลองอ่านหนังสือกับโต๊ะที่จัดวางเรียบร้อยและโต๊ะที่รกรุงรังดูครั้งละ 15 นาที และดูว่าตัวเองอานหนังสือได้ดีกับโต๊ะแบบไหน เมื่อทราบแล้วก็จัดโต๊ะให้ตรงตามประเภทของตนเอง เพราะเมื่อสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสมกับตนเอง ถึงจะต้องอ่านหนังสือเป็นเวลานานก็จะไม่ค่อยเครียด
* การตั้ง “กฎของตัวเอง” จะทำให้มีกำลังใจต่อเนื่อง เช่น ใน 1 ชม.จะไม่ลุกจากเก้าอี้ หรือ ถ้ายังท่องศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ไม่ได้ถึง 10 คำ จะไม่ไปทานข้าว เป็นต้น
* เขียน “การ์ดความสำเร็จที่ได้ทำวันนี้” เพื่อทำความพยายามให้เป็นรูปธรรม โดยเขียนแค่ 1-2 บรรทัดก็พอ เช่น “อ่านหนังสือได้ 10 หน้า” หรือ “เตรียมเอกสารได้ 5 แผ่น” แล้วเก็บการ์ดเหล่านี้ไว้ด้วยกัน ยามท้อให้หยิบขึ้นมาดู จะมีกำลังใจว่า “เราทำมาได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
* คู่แข่งไม่ใช่คนอื่น แต่คือตัวเราเมื่อวานนี้ ถ้ามีความพยายามเสียอย่าง ยังไงก็จะชนะแน่นอน
* เวลาอ่านหนังสือก็ให้ตั้งใจอย่างเต็มที่ เวลาพักก็ต้องผ่อนคลายอย่างเต็มที่สลับกันเป็นตารางแน่นอน เช่น อ่าน 30 นาที พัก 5 นาที โดยให้วางแผนล่วงหน้าถึงการพักที่เรารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุดและทำตามนั้น ที่สำคัญคือ “อย่ายืดเวลาพัก” เพราะจะทำให้ตารางการอ่านรวนไปหมด
* ค่อย ๆ เพิ่มเวลาที่มีสมาธิอ่านหนังสือขึ้นทีละ 5 นาที เช่น สมมติวันนี้สามารถอ่านหนังสือติดต่อกันได้ 30 นาที พรุ่งนี้ก็ลองยืดขึ้นไปเป็น 35 นาที ถ้าทำไม่ได้ครั้งแรก ก็ให้ค่อย ๆ พยายามใหม่ ให้บอกตัวเองว่า “ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร” เพราะการทำต่อเนื่องโดยไม่เครียดเป็นเรื่องสำคัญ
* อย่าเขียนแค่ “เป้าหมาย” แต่ให้เขียน “หนทางไปสู่เป้าหมาย” ด้วย และควรเขียนตัวโต ๆ บนกระดาษและแปะไว้บนผนังห้อง เช่น “จะเข้ามหาวิทยาลัย...ให้ได้! และเพื่อทำให้ได้เราต้องอ่านหนังสือ 20 เล่มให้จบ” หรือ “จะสอบประกาศนียบัตรทางบัญชีให้ได้ และเพื่อทำให้ได้จะอ่านหนังสือวันละ 10 หน้า” เป็นต้น
* เวลาที่ทำอะไรไม่ได้ การพูดออกมาว่าทำได้หรือไม่ได้เป็นกุญแจสำคัญ ดังนั้นยิ่งเวลาที่ทำอะไรไม่ได้ยิ่งต้องร้องตะโกนว่า “ทำได้แล้ว!” โดยในใจให้คิดถึงเหตุผลด้วยว่า ทำไมถึงทำได้
เช่น “ทำได้แล้ว! ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงในคราวหน้า” หรือ “ทำได้แล้ว ต่อไปนี้ฉันจะผิดพลาดในงานเรื่องนี้น้อยลงแล้ว”
* เขียน “ปณิธานสิ่งที่ต้องแก้ไข” วันละ 1 อย่าง จะทำให้สามารถเอาชนะจุดบกพร่องของตัวเองได้ เช่น “ถ้ากำลังขี้เกียจอยู่ ให้เริ่มด้วยการไปนั่งที่เก้าอี้ที่โต๊ะเรียน” หรือ “ถึงจะเป็นวิชาที่ไม่ถนัดก็ต้องอ่านวันละ 30 นาที”
* การเขียนสิ่งที่ต้องแก้ไขออกมาสำคัญเพราะว่า หากเราทราบข้อเสียของตนเองแต่ไม่จดบันทึกไว้ก็อาจจะลืมได้ แต่การจดบันทึกไว้จะทำให้เราสามารถรับรู้ถึงจุดอ่อนของเราได้
* ออกกำลังกายสมองตอนเช้าทุกวัน วันละ 5 นาที เพราะเวลาช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับสมองมาก เช่น ฝึกอ่านเร็วในตอนเช้า โดยอ่านหนังสือ 30 หน้าในเวลา 5 นาที หรือฝึกแก้โจทย์คณิตศาสตร์ 100 ข้อในเวลา 5 นาที เป็นต้น
* การเตรียมตัวสอบเข้าก็ดีหรือสอบเอาใบประกาศนียบัตรก็ดี พอทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ ก็มักจะเหนื่อย เบื่อขึ้นมากลางคัน ไม่มีแรงที่จะพยายามต่อ ดังนั้นให้ตั้ง “วันท้าทายตัวเอง” เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในการอ่านหนังสือขึ้นมา โดยให้ท้าทายความสามารถตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ในแบบที่ทั่วไปเราไม่เคยทำ
เช่น “วันนี้จะท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ....คำให้ได้” หรือ “วันนี้จะอ่านหนังสือให้จบ 3 เล่ม” การทำเช่นนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพให้เราและจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
* บางครั้งการ “ปลีกวิเวกไปขังตัวเองในกระท่อมบนภูเขา” เพื่อตั้งใจอ่านหนังสือแบบจริงจังก็จำเป็น โดยไม่ต้องไปบนภูเขาจริง ๆ ก็ได้ แต่อาจสถานที่อื่น ๆ เช่น คาเฟ่ที่ปกติไม่เคยไป หรือสถานที่ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ทำให้สามารถนั่งอ่านหนังสือในพื้นที่ที่มองเห็นสีเขียวของต้นไม้ได้ หรือไปอ่านในห้องสมุดที่ไม่ได้อยู่แถวบ้าน
* ที่ดังกล่าวต้องไม่มีทีวี ไม่มีเสียงรบกวน มีแต่อุปกรณ์การเรียน (หรือการทำงาน) และให้ตั้งใจอ่านให้เต็มที่
* การทำเช่นนี้จะ “เปิดสวิทช์สมอง” และแม้จะกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมก็จะมีความรู้สึกว่าสมองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง มีความตั้งใจเต็มเปี่ยมและมีประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือที่ดีกว่าเดิม
* ระหว่างอ่านหนังสือ จงชมตัวเองในใจทุก ๆ 10 นาที หรือจะกำหนดว่า ทุก ๆ ครั้งที่อ่านจบกี่หน้าให้ชมตัวเองก็ได้ เช่น “พยายามได้ดีแล้ว เจ๋งมาก!” หรือ “เรานี่ขยันนะเนี่ย”
* การผัดวันประกันพรุ่งคือ การใส่ช่องว่างลงไปในตารางเวลา ดังนั้นให้เลือกสิ่งที่ผัดวันประกันพรุ่งมาแล้วลงมือทำตอนนี้ทันที
* ให้จินตนาการอย่างจริงจังว่า อนาคตจะวิกฤติอย่างไรถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ การใช้ความรู้สึกบวกว่า “ฉันจะสู้” นั้น บางทีอาจมียอมแพ้ระหว่างทางได้ แต่ถ้าเรามีความรู้สึกว่า “ถ้าไม่ทำ มันต้องแย่แน่ ๆ” เราก็จะสามารถพยายามตั้งใจทำต่อไปได้อย่างมั่นคง
* ใช้การกำหนดเวลากับทุก ๆ สิ่งที่เราทำ จะทำให้เราทำทุก ๆ อย่างได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองนึกดูก็ได้ว่าคนที่ปกติอ่านได้ 5 หน้าภายใน 1 ชั่วโมงกับคนที่อ่านได้ 20 หน้าภายใน 1 ชั่วโมง เมื่อเวลาผ่านไป 10 ชั่วโมงจะอ่านได้มากน้อยต่างกันขนาดไหน
* การอ่านหนังสือเหมือนกับการฝึกยกน้ำหนัก ถ้าเอาแต่สบาย ๆ ไปวัน ๆ ความเร็วในการอ่านก็จะไม่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเรากำหนดเวลาในการอ่าน ระดับสมาธิก็จะเพิ่มขึ้น และความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เวลาที่ควรกำหนดคือใช้เวลาช่วงสั้น ๆ
เช่น สมมติเราสามารถอ่านหนังสือ 1 หน้าได้ใน 5 นาที ก็ให้พยายามเพิ่มความเร็วเป็นอ่าน 1 หน้าได้ใน 4 นาที และ 3 นาทีในที่สุด
* เมื่อสมองถูกบีบคั้น จะสามารถดึงขีดความสามารถออกมาได้อีก ให้ฝึกทำอะไรอย่างเต็มความสามารถสุด ๆ วันละ 5 นาที เช่น อ่านหนังสือ 100 หน้าใน 5 นาที หรือฝึกคำนวณ 300 ข้อใน 5 นาที เป็นต้น
* ต้องออกกำลังกายเป็นนิสัย เริ่มต้นแค่ 5 นาทีก็ยังดี แต่ถ้าต้องหักโหมอ่านหนังสือสอบ(หรือทำงานยาก ๆ – ผู้วิจารณ์) วันละ 10 ชั่วโมงต่อกันเป็นเวลา 100 วัน ควรฝึกวิ่งออกกำลังวันละ 30 นาทีทุกวัน เพราะสมองกับร่างกายมีความสัมพันธ์กันมาก หากร่างกายมีแรง สมองก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่ในระยะเวลายาวนาน
* ทุก ๆ 3 เดือน หรือ 6 เดือน ให้เลือกเดือน ๆ หนึ่งเป็น “เดือนวัดใจ” แล้วฝึกตัวเองให้เหมือนกำลังเข้าแข่งโอลิมปิกหรือเวิร์ลด์คัพ แล้วให้ “ตั้งเป้าหมายในแบบของเรา”
เช่น”เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการ “ชิงชนะเลิศ” จะต้องอ่านหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้ให้จบให้ได้!” ควรตั้งเป้าหมายโดยกำหนดตัวเลขให้ชัดเจนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
* หากมี “ความเชื่อมั่นในตัวเองในบางสิ่งบางอย่าง” แล้ว จะทำให้สามารถอ่านหนังสือได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นให้ลองไปหาหนังสือของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาที่ตัวเองต้องการเรียนต่อมาอ่านสัก 10 หน้า โดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด แค่เข้าใจเนื้อหาคร่าว ๆ ก็พอ จะให้ความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง และเกิดความมั่นใจขึ้นมา
* ถ้ารู้สึกว่าการตั้งเป้าอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงเป็นเรื่องยาก ให้บอกตัวเองว่า “อ่าน 5 วินาทีก็พอ” ถ้าอ่าน 5 วินาทีแล้วรู้สึกเหนื่อย ก็ให้พักสักครู่ แล้วเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้ารู้สึกว่าเหมือนจะอ่านต่อได้อีก ก็อ่านต่อเท่าที่ทำได้ ที่สำคัญคือไม่บังคับตัวเอง
* ลองกำหนดเพลง theme สำหรับการอ่านแต่ละวิชาเอาไว้เพื่อเปิดก่อนลงมืออ่าน ภายหลังเมื่อชินแล้วแค่ได้ยินท่อน intro ของเพลงนั้น สมองก็จะเข้าสู่โหมดการอ่านวิชานั้น ๆ เองโดยธรรมชาติ
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* การอ่านหนังสือได้มาก อ่านได้เร็ว เป็นประโยชน์กับทุกคนไม่ใช่แค่คนที่จะเตรียมสอบ เป็นหนทางในการพัฒนาตนเองไปสู่ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และสู่ความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
* เทคนิคหลายข้อนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในด้านอื่น ๆ ของการทำงานและชีวิตโดยรวมได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารเวลาให้เกิดคุณค่าสูงสุด
หนังสือชื่อ “เคล็ดลับเลิกทรมานกับการอ่านหนังสือ” โดย นพ.อิวะนะมิ คุนิอะคิ แปลโดย ณิชชาภัทร พรมสุวรรณ สำนักพิมพ์ "พราว" 192 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น