ภาวะผู้นำแบบญี่ปุ่นเป็นอย่างไร?
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยอดีตประธานบริษัทโทเรของญี่ปุ่น
ผู้เขียนไม่ได้เพียงรวบรวมข้อคิดที่ได้โดยตรงจากประสบการณ์การทำงานของตนเองเท่านั้น
แต่ยังกลั่นกรองมาจากการศึกษาผู้นำระดับตำนานของญี่ปุ่นทั้งในประวัติศาสตร์และผู้นำร่วมสมัย
ตลอดจนถึงผู้นำในองค์กรธุรกิจชาวตะวันตกด้วย
ดังนั้นในเล่มจึงมีเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจมากมาย
นอกจากนี้ผู้เขียนยังกล้าเปิดเผยปัญหาที่ครอบครัวตนเองต้องเผชิญ
เช่น
มีลูกชายคนโตเป็นออทิสติกและมีภรรยาที่ล้มป่วยด้วยโรคตับอักเสบและซึมเศร้าจนถึงพยายามฆ่าตัวตายถึง
3 ครั้ง ทำให้เขานอกจากจะต้องทำงานหนักแล้วยังต้องดูแลภรรยาและลูก ๆ
ในเวลาเดียวกันด้วย
ผู้เขียนยกตัวอย่างให้เห็นโดยเฉพาะในบทท้าย ๆ
ว่า เพราะการเผชิญปัญหาหนักหนาสาหัสอย่างนั้น
จึงได้เรียนรู้ว่าความเป็นผู้นำคืออะไร ทุก ๆ คนเป็นผู้นำได้ทั้งนั้น
แม้แต่ลูกสาวที่อยู่ป.5 ของผู้เขียนที่ลุกขึ้นมาหัดทำอาหารด้วยตนเองโดยไม่มีใครบอกเพื่อแบ่งเบาภาระพ่อยามเมื่อแม่ป่วยหนัก
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*
ภาวะผู้นำไม่ใช่สิ่งที่เรียกร้องเอาจากผู้อื่น เราควรตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า “แล้วฉันล่ะ
เป็นผู้นำกับเขาได้หรือเปล่า”
* ผู้นำที่แท้จริงจะทำให้คนสมัครใจและมีความสุขที่จะตามเขา
* โอยามุ ฮิโรมุ
ประธานบริษัทผลิตชอล์กเขียนกระดานชื่อ Nihon Rikagaku Industry มีพนักงานทั้งหมด 73 คน และพนักงานกว่า
70% เป็นผู้พิการทางสมอง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขารับผู้พิการทางสมองเข้ามาเป็นพนักงานประจำจำนวนมากคือคำพูดของเจ้าอาวาสวัดพุทธองค์หนึ่งที่บอกเขาว่า
“ความสุขของมนุษย์เราไม่ได้อยู่ที่ข้าวของหรือเงินทอง
ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มีอยู่ 4 อย่าง นั่นคือ การได้รับความรักจากผู้อื่น
การได้รับคำชมจากผู้อื่น การที่ตัวเองมีประโยชน์ต่อผู้อื่น
และการเป็นที่พึ่งพาของผู้อื่น”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้
คุณโอยามุก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องปกป้องความสุข(จากการได้ทำงาน)ของเด็กพิการที่มาทำงานที่บริษัทเขาไว้ให้ได้อย่างดีที่สุด
ถึงแม้บริษัทจะประสบความสำเร็จอย่างมาก
คุณโอยามุก็ยังพูดถ่อมตัวอยู่เสมอว่า
เป็นโชคของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อย
ความอ่อนน้อมถ่อมตัวและการยอมรับฟังความเห็นของพนักงานในบริษัทของคุณโอยามุนี้เองที่ทำให้เขาเป็นผู้นำที่แท้จริง
* โดะโค มาซาโอะ
นักเศรษฐศาสตร์ที่มีส่วนในการฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลก
เคยเขียนบันทึกถึงกลอนท่อนหนึ่งของ วิลเลียม เวอร์ดสเวอร์ด กวีชาวอังกฤษไว้ว่า “จงเป็นอยู่เรียบง่าย
คิดถึงการเสียสละ” (plain
living, high thinking)
* มีคนงานก่ออิฐอยู่สองคน เมื่อถูกถามว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ” คนแรกตอบว่า
“ฉันกำลังก่ออิฐอยู่” ส่วนคนที่สองตอบว่า
“ผมกำลังสร้างโบสถ์อยู่ครับ” เมื่อเปรียบเทียบกัน
การก่ออิฐโดยมีวิสัยทัศน์ว่า “จะสร้างโบสถ์เพื่อคนในโลก” ให้คุณค่าแก่การทำงานมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
* โอคุระ มาซาโอะ กล่าวไว้ว่า “สำหรับผม
บริษัทเป็นสถานที่ที่ใช้ขัดเกลาตัวเองและค้นหาตัวตนที่แท้จริงเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่เราจะให้เป็นนายเหนือการควบคุมของเรา”
* การเขียนอะไรลงไปในกระดาษ
ทำให้ตัวเราได้เผชิญหน้ากับคุณค่าที่ตนเองให้ความสำคัญ เพราะเมื่อเขียนลงกระดาษแล้ว
เราจะเห็นอุปสรรคและความขัดแย้งในตัวเองชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น
* สำหรับคนเป็นผู้นำ
คำพูดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าเราจะตั้งใจดีเยี่ยมแค่ไหน
ถ้าไม่สามารถสื่อให้คนอื่นเข้าใจก็ไม่ต่างกับการไม่ได้มีความตั้งใจนั้นเลย
ดังนั้นผู้นำจึงต้องหมั่นขัดเกลาคำพูดของตัวเองเสมอโดยการเขียนความตั้งใจนั้น ๆ
ออกมา
* “ผู้นำต้องรักษาสมดุลระหว่าง ปัญญา ความรู้สึก
และความตั้งใจ โดยปัญญาคือ ความรู้ความฉลาด ความรู้สึก หมายถึง
ความรักในการทำสิ่งนั้น และความตั้งใจ หมายถึง ความมุ่งมั่นที่จะทำ” – ชิบูยะ
เออิจิ
* เมื่อ ทานากะ เคนอิจิ
ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานบริษัท โจอุริ
และต้องทำหน้าที่ฟื้นฟูองค์กรที่ขาดทุนต่อเนื่อง 30 ปีครั้งใหญ่
เขาจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงาน
แต่เขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะหางานใหม่ให้กับคนเหล่านั้นให้ได้
โดยสละเวลาศึกษาประวัติการทำงานของแต่ละคนเพื่อที่จะหางานที่เหมาะสมให้ด้วย
*
ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลที่เราทำอะไรบางอย่างไม่ได้
แต่ให้พยายามหาเหตุผลที่จะทำให้ได้แทน
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเรื่องยากที่จะให้ลงมือทำทันที
แต่คนแบบนั้นได้จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ ทั้งชีวิตและโชคชะตาก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย
* การเรียนรู้เคล็ดลับความสำเร็จจากอุตสาหกรรมประเภทอื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ
โอคุระ มาซาโอะ
ประธานบริษัทขนส่งยามาโตะเห็นตัวอย่างจากร้านอาหารโยชิโนยะที่ยกเลิกเมนูที่มีความหลากหลายของร้านและมุ่งทำแต่ข้าวหน้าเนื้อ
(กิวด้ง) เพียงอย่างเดียวและประสบความสำเร็จ จึงนำแนวคิดนี้มาปรับลดกิจการขนส่งของตนเองไปโฟกัสสิ่งที่ยามาโตะถนัดเพียงอย่างเดียว
คือ บริการส่งของด่วนโดยไปรับถึงบ้าน
*
คนที่จะเป็นผู้นำในอนาคตจะต้องใจกว้างและมองข้ามความแตกต่างได้
ตัวอย่างคือกรณีการร่วมมือกันระหว่างบริษัทรถยนต์นิสสันและเรโนลด์
ผู้บริหารทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงคุณค่าของความแตกต่างระหว่างกัน
ยอมรับลักษณะเฉพาะของกันและกัน พร้อมทั้งเคารพกันและกันได้
* คาร์ลอส กอน
ผู้นำในการปฏิรูปนิสสันเดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมกับทีมของเขาเพียง 17 คน
ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงาน 150,000 คนของนิสสัน เขากำชับทีมเขาว่า “อย่าคิดที่จะเปลี่ยนนิสสันนะ
แต่เราจะมาช่วยเขาสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่ ทำให้สำเร็จ” และเขาก็ทำสำเร็จ
*
การลงทุนกับเครื่องจักรและการศึกษาสภาพของตลาดเป็นสิ่งจำเป็นก็จริง
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาแรงจูงใจในการทำงานและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวขององค์กร
* องค์กรต้องการผู้นำที่ปล่อยมือลูกน้องที่เก่งและหันมาพัฒนาลูกน้องที่ไม่เก่งให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ
คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ จงรู้จักใช้ประโยชน์จากคนทุกประเภท
* นิวะ อุอิจิโร
ผู้พลิกฟื้นธุรกิจของบริษัทการค้าอิโตชูจากมีหนี้เสียถึง 395,000
ล้านเยนมามีกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ได้ภายในปีเดียวเคยกล่าวอย่างถ่อมตัวไว้ว่า
ตนเองเป็นเพียง “ช่างทำความสะอาด” ที่มารื้อเก็บกวาดบริษัทอิโตชู
เมื่อทำสำเร็จก็สละตำแหน่งอย่างง่ายดายไม่ยึดติด
คุณนิวะถ่อมตัวเสมอว่า
ถ้าไม่ได้เป็นประธานบริษัทแล้ว ตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง
แต่รัฐบาลญี่ปุ่นจับตาดูอยู่จึงไม่ปล่อยให้ผู้บริหารมือฉมังหลุดมือไปได้
จึงแต่งตั้งให้คุณนิวะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญประจำประเทศจีน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนที่ดำรงตำแหน่งสูงแล้วทำตัวว่าเก่งกาจ คนทั่วไปจะไม่มองเช่นนั้น
แต่คนที่อยากเป็นแค่คุณลุงธรรมดา ๆ
คนหนึ่งเท่านั้นต่างหากที่โลกกลับไว้วางใจมอบตำแหน่งผู้นำให้
*
ผู้นำที่แท้จริงเท่านั้นจะได้รับความเคารพรักจากคนอื่นแม้เขาจะหมดอำนาจแล้วก็ตาม
* พระเจ้าถังสมัยราชวงศ์ซางตรัสเอาไว้ว่า “วันใหม่เกิดขึ้นทุกวัน
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
โดะโค มาซาโอะ อธิบายเพิ่มว่า “วันนี้คือวันนี้
เป็นวันที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เบื้องบนได้มอบไว้ให้เราทุก ๆ
คนอย่างเท่าเทียมกัน...เพราะฉะนั้นจงใช้หนึ่งวันที่มีค่าเช่นนี้ให้คุ้มค่า
สิ่งที่ทำวันนี้ก็จะเป็นเรื่องใหม่ว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อวาน
สิ่งที่ทำวันพรุ่งนี้ก็ต้องใหม่กว่าวันนี้ จงตั้งใจไว้แบบนี้เสมอ...”
* คนที่ใช้ชีวิตอย่างจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง
หรือคนที่ให้กำลังใจและให้ความกล้ากับคนอื่น รวมถึงคนที่ทำงานด้วยแล้วสนุก
คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นผู้นำในความคิดผม
หนังสือชื่อ “17 หลักคิด เป็นนายให้ลูกน้องรัก
เป็นผู้นำให้โลกจดจำ” โดย
ทสึเนะโอะ ซาซากิ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พิมพ์ครั้งที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 176 หน้า
ราคา 160 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60
เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*
แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้
จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น