วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 473 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือ ชื่อ “ยิ่งเรียนสูง เรียนเก่ง ยิ่งต้องปรับตัว”

อย่าปล่อยให้ความสำเร็จตอนอายุน้อยมาทำให้สมองคุณเสื่อมภายหลัง แพทย์ญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านสมองแนะนำ
คนอายุ 30 ปีขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง เรียนเก่ง ควรอ่าน


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณหมอผู้ใฝ่ฝันที่จะเรียนรู้ด้านการพัฒนาสมองตั้งแต่ตนเองอายุ 14 ปี และได้วินิจฉัยสมองมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 100 ปีมาแล้วมากกว่า 10,000 คน
ชื่อหนังสืออาจทำให้หลายท่านรู้สึกเขิน ๆ ที่จะซื้อหรือหยิบขึ้นมาอ่านในที่สาธารณะ(ผู้วิจารณ์ใช้วิธีถือไปอ่านตอนไปต่างประเทศ) แต่อย่าให้ชื่อหนังสือหยุดคุณ เพราะหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนอายุ 30 ปีขึ้นไปทุกคน
ยิ่ง 50 ขึ้นไปยิ่งต้องรีบอ่าน
คุณหมอผู้เขียนเป็นคนเดียวกับผู้เขียนหนังสือชื่อ “ฝึกสมองให้ฉับไว แค่ทำอะไรต่างจากเดิม” ที่คอลัมน์นี้เคยรีวิวเมื่อเดือนที่แล้ว ถ้าคุณผู้อ่านได้อ่านเล่มที่แล้วก็คงจะทราบดีว่าคุณหมอเขียนค่อนข้างหนักและไม่ได้อ่านเพลินเท่าใดนัก และบางทีก็เหมือนจะเน้นเรื่องเดียวซ้ำ ๆ หลายตอน
แต่ถ้าก้าวข้ามความน่าเบื่อนั้นไปได้และเลือกจำประเด็นที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา หนังสือเล่มนี้ก็จะทำให้คุณฉุกคิดและคิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อมได้
**หมายเหตุ** บริบทของหนังสือเล่มนี้คือระบบการศึกษาและการทำงานของญี่ปุ่น ซึ่งมีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกับไทยบ้าง แต่โดยรวมแล้วสามารถนำมาปรับใช้ได้
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ในสังคมการทำงานทุกวันนี้ เราจะพบว่า คนที่จบการศึกษาสูง ๆ มักไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบเสมอไป เช่น หัวหน้าที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นจะสั่งงานโดยไม่สนใจความรู้สึกของลูกน้อง หรือลูกน้องที่จบจากมหาวิทยาลัยดัง ๆ มักไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งเจ้านาย
* ค่านิยมในปัจจุบันคือการยกย่องคนที่ฝึกฝนสมองเพียงบางส่วน และผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมก็แสดงให้เห็นถึงผลของการพัฒนาสมองเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ดังนั้นการมีไอคิวสูงจึงใช้ประเมินศักยภาพของสมองโดยรวมไม่ได้
* คนที่ยิ่งเรียนสูง เรียนเก่ง มักไม่เก่งเรื่องการสื่อสาร และมักเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จนคนอื่นลำบากใจอยู่เสมอ
* คนที่เรียนได้เกรดสูง ๆ สมองด้านความคิดหรือการจดจำมักพัฒนามากเป็นพิเศษ แต่สมองด้านอารมณ์จะไม่พัฒนาตามไปด้วย คนหัวดีบางคนจึงมักระเบิดอารมณ์เมื่อไม่ได้ดังใจ และจะโกรธมากเมื่อความฉลาดของตนเองถูกปฏิเสธ
* สิ่งที่อันตรายคือ คนที่ตอนหนุ่มสาวสะสมความรู้ไว้มากเกินไปจะรู้สึกว่ารู้ทุกอย่างแล้วจึงไม่ค่อยอยากรับความรู้ใหม่ ๆ
* คนที่เรียนเก่งมักมีปัญหาไม่ค่อยยอมรับความเห็นคนอื่นเพราะพวกเขาชินกับการใช้สมองในการหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว (เช่น ในข้อสอบแบบมีตัวเลือก ให้เลือกข้อที่ถูกเพียงข้อเดียว)
ดังนั้น เวลาไปทำงานแล้วมีคำตอบที่ถูกต้องหลาย ๆ คำตอบจากหลาย ๆ คน จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงและอึดอัด
* ถ้าองค์กรใดมีคนเรียนสูงเรียนเก่งอยู่ ก็ต้องมีการอธิบายให้คนกลุ่มนี้เข้าใจคำสั่งงานให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ต้องอธิบายให้เห็นภาพ บอกวิธีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้คนกลุ่มนี้เปิดใจยอมรับและทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ เพราะลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือ จะทำทุกอย่างได้ถ้ามีในคู่มือ (เหมือนหนังสือเรียน)
* ในบริษัทญี่ปุ่น คนจบการศึกษาด้านกีฬา (หรือคนเคยอยู่ชมรมกีฬา เป็นนักกีฬา – ผู้วิจารณ์) มักได้รับการยกย่องเพราะมีศักยภาพด้านการสื่อสารหลายอย่าง เช่น ความสัมพันธ์แบบทั่วไป ความสัมพันธ์แบบคู่แข่ง การทำงานเป็นทีม ฯลฯ
* ในสมองเรามีเส้นใยประสาทจำนวนมากมายที่เกาะเกี่ยวกันอยู่เป็นโครงตาข่าย เส้นทางใดถูกใช้บ่อย ๆ ก็จะมีขนาดใหญ่และส่งสัญญาณผ่านได้ง่าย จึงทำให้สะสมข้อมูลทุกอย่างแล้วสั่งสมเป็นประสบการณ์ง่ายขึ้นด้วย
* ในทางตรงข้าม การทำแต่กิจกรรมเดิม ๆ เป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ กันทุกวัน แรงกระตุ้นที่ส่งไปยังสมองก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลง
ดังนั้น การนั่งทำงานนาน ๆ อย่างเดียวโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกายจึงทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกกำลังจึงอาจอ่อนแรง และทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงได้ง่ายด้วย
* การดำเนินชีวิตโดยที่สมองไม่ได้ถูกกระตุ้นใด ๆ ก็เหมือนกับสมองฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่งนั่นเอง ดังนั้น คนที่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนตอนอายุน้อยอาจนึกว่าตนเองจัดสรรเวลาเป็นและทำได้ดีแล้ว ทำให้การใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จะพัฒนาตนเองได้ยากขึ้น
* ควรแทรกการฝึกสมองลงไปในชีวิตประจำวัน เช่น จัดสรรการใช้เวลาใหม่ให้ต่างจากเดิม ถ้าตอนเย็นมีกิจกรรมที่จะทำ 3 ชม. ก็ให้ย้ายชม.หนึ่งมาเป็นการออกกำลังตอนเช้า 1 ชม. บ้าง
* วิธีรักษาโรคสมองเสื่อมที่ได้ผลดีที่สุดคอการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต คนที่มีความพอใจตนเองในปัจจุบันจะมีความยึดติดและตั้งใจจะทำวันนี้ให้เหมือนกับเมื่อวานนี้ และทำพรุ่งนี้ให้เหมือนกับวันนี้
คนประเภทนี้มีแนวโน้มที่ศักยภาพหรือความกระตือรือร้นในแต่ละวันจะเสื่อม โดยเฉพาะในช่วงอายุ 40-50 ปี
* การเขียนบันทึกประจำวันก็เป็นกิจกรรมที่ได้ผลดี เพราะการเขียนบันทึกเป็นการเปลี่ยนภาพเป็นคำพ๔ดจึงมักใช้เป็นการทำกายภาพบำบัดแก่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์
* กีฬาช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้สมองได้พัฒนา ยิ่งเป็นกีฬาที่เล่นเพื่อต้องการคะแนนก็ยิ่งกระตุ้นให้สมองมีการเปลี่ยนแปลง
* คนทำงานควรฝึกการ “เดินถอยหลัง” ด้วย เพราะทำให้กล้ามเนื้อเชื่อมยึดกระดูกสันหลัง (erector spinal) คลายออก ลำตัวจะยืดตรง ไม่ก้มไปข้างหน้า คนที่นั่งทำงานบนโต๊ะจนไหล่แข็งควรลองทำ
* คนยุคใหม่ที่เดินน้อยลง เสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม สำหรับสมองแล้ว การดำเนินชีวิตที่แท้จริงคือการออกแรงทำงานให้มีเหงื่อ
* ปัจจุบันพบว่าคนญี่ปุ่นที่นั่งทำงานบนโต๊ะเป็นโรคปวดหลังช่วงล่างกันมาก แต่ชนเผ่านักล่าและเก็บของป่าของแอฟริกาไม่เป็นโรคนี้เลย
* ส่วนใหญ่สมองคนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุเกิน 50 ปี จะแบ่งออกได้เป็นคนที่ศักยภาพสมองลดต่ำลง และคนที่ศักยภาพสมองเพิ่มสูงขึ้น
* จงกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลงสมองอยู่เสมอ ถ้าไม่อยากเป็นโรคสมองเสื่อม
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* คนเรียนสูง เรียนเก่ง อาจเจอกับดักที่ทำให้เกิดความยึดติดในวิธีการเรียนรู้ วิธีการทำงานแบบเดิม ๆ จนทำให้สมองไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเติบโต อีกทั้งการให้ความสำคัญเพียงแค่เรื่องความจำหรือความคิดอาจทำให้ขาดทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม
* สำหรับคนทุกวัย การกระตุ้นสมองด้วยการคอยศึกษาเรียนรู้ลงมือทำสิ่งที่แปลกใหม่อยู่เสมอ รวมทั้งการออกกำลังให้เหงื่อออกเป็นประจำ เป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันสมองเสื่อม
หนังสือชื่อ “ยิ่งเรียนสูง เรียนเก่ง ยิ่งต้องปรับตัว” โดย นพ.คะโต้ โทะชิโนะริ แปลโดย อังคณา รัตนจันทร์ สำนักพิมพ์นานมี 200 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น