วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 477 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “เคล็ดลับจำแม่น เลิกซะทีกับการหลง ๆ ลืม ๆ”

ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถใน(การพัฒนาทักษะ)การจำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
เพียงพัฒนาทักษะการอ่านและการจำ ก็สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ไกลกว่าที่คุณคิด
ไม่ว่าคุณจะอยู่วัยกลางคน แล้วไม่อยากหลง ๆ ลืม ๆ เมื่ออายุมากขึ้น
หรือคุณจะอยู่ในวัยเรียน วันทำงาน แล้วรู้สึกว่าตัวเองไปได้ไกลกว่านี้
หนังสือเล่มนี้มีทั้งเทคนิคและแนวคิดดี ๆ มาให้คุณ


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มย่อมนี้เขียนขึ้นโดยอดีตนักเรียนผู้เรียนไม่ดีและท้อแท้แต่ก็ลุกขึ้นมามุมานะพัฒนาเทคนิคการเรียน การจำของตนเองขึ้นมาจนสามารถสอบเข้าเรียนคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยโตเกียวได้สำเร็จ
เขาก้าวหน้าทางหน้าที่การงานมาโดยลำดับและสามารถแตกสายงานไปได้หลายสาขา จนในที่สุดก็ออกมาเป็นวิทยากรสอนเทคนิคต่าง ๆ ของเขา
ในเล่มไม่เพียงแต่สอนเทคนิคการอ่านและการจำ แต่ยังขยายไปเรื่องแนวคิด การใช้ชีวิตให้ไปถึงฝันและมีความสุขด้วย
แบ่งเป็น 4 บทใหญ่ ได้แก่ 1) ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ด้วย “แนวคิด” 2) เอาชนะอุปสรรคด้วย “เทคนิคการจำ” 3) “เทคนิคการอ่าน” ที่ทำให้อ่านหนังสือที่ไม่ถนัดได้อย่างราบรื่น 4) “เทคนิคการบริหารเวลา” ไม่ให้สูญเปล่า
ผู้เขียนกล่าวว่า เวลาของคนเรามีจำกัด ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการใช้เวลาด้วยเทคนิคแบบมิยากุจิของเขาได้ การดำเนินชีวิตโดยรวมก็จะเปลี่ยนแปลงไป
เหมาะกับทุกคนที่สนใจการพัฒนาตนเอง
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ความแตกต่างระหว่างคนสอบผ่านกับสอบไม่ผ่านคือ ความแตกต่างด้านจิตใจ
* คนที่มีความกล้าที่จะลงมือทำกล้าล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ และลงมือทำอย่างต่อเนื่องคือคนที่จะประสบความสำเร็จในที่สุด
* ก่อนนอนให้ฝึกจินตนาการถึงภาพที่ทำให้รู้สึกดีที่สุดไว้ในหัว คนเราหากมีพลังแห่งจินตนาการติดตัว วิธีการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป
* คนเราไม่สามารถจดจำสิ่งที่ไม่เข้าใจได้
* สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดของการศึกษาเทคนิคการจำคือ การถูกจิตใต้สำนึกบอกว่า “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
* รากฐานของเทคนิคการจำแบบมิยากุจิคือ “วิธีจดจำโดยใช้สถานที่” (Roman Room Method) โดยอาศัยพื้นฐานวิทยาศาสตร์ทางสมองว่า ความสามารถในการจำรูปแบบ (Pattern Recognition Abilities) ของมนุษย์เหนือกว่าของคอมพิวเตอร์
* ตัวอย่างเช่น เราสามารถมองเห็นหน้าแฟนท่ามกลางสถานทีรถไฟที่คนเยอะเป็นร้อย ๆ ได้ในชั่วพริบตา
* เทคนิคการจำแบบมิยากุจิมีอยู่สองขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นเตรียมความพร้อม และขั้นฝึกปฏิบัติ
* ขั้นเตรียมความพร้อม ได้แก่ 1) ฝึกจินตนาการให้เป็นภาพ 2) เตรียมฉากสำหรับแปะภาพที่จินตนาการไว้ให้พร้อม
* ขั้นฝึกปฏิบัติ ได้แก่
1) กำหนด “เป้าหมาย” ให้ชัดเจน เช่น “ต้องสอบให้ผ่าน” “ต้องจำข้อมูลการขายให้ได้”
2) เลือกเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย เช่น “โจทย์น่าจะออกแนวไหน” “ต้องได้กี่คะแนนถึงจะผ่าน”
3) กำหนด “Credo” หรือหัวใจสำคัญเป็นคำสั้น ๆ เช่น “ยอดขายอันดับ 1” แล้วนำไปแปะในจุดที่มองเห็นได้
4) ทำสัญลักษณ์และจับภาพรวม โดยใช้หลัก “ความเข้าใจ 70%” คือ ตัดสินใจเองได้ว่า อะไรควรจำ อะไรไม่จำเป็น
5) ฝึกสร้างจินตนาการ แล้วแปะวางลงไปในฉาก
6) ทบทวน
7) ประยุกต์ใช้จริง
* สิ่งสำคัญคืออย่ามองแค่งานตรงหน้า แต่ต้องตระหนักถึงเป้าหมายอยู่เสมอด้วย จะทำให้มีพลัง มีแรงจูงใจ
* สิ่งที่จะตัดสินว่า ระหว่างคนสองคนที่มีความสามารถเหมือนกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน มีเป้าหมายเหมือนกัน ใครจะสร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่า คือ ความกระตือรือร้นหรือเอาจริงเอาจัง
* ระดับความกระตือรือร้น จะแปรเปลี่ยนไปตามความตระหนักต่อเป้าหมาย
* การลืมส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังการจำ ตามหลักการของ “เส้นโค้งการลืมของเอบบิงเฮาส์”
* ช่วงที่ต้องทบทวนแบ่งออกเป็น 4 ครั้ง คือ วันเดียวกันนั้นเลย วันรุ่งขึ้น หลังจากนั้น 4 วัน และหลังจากนั้น 2 สัปดาห์
* ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งสามารถจินตนาการเป็นภาพได้มากกว่าเพราะมีประสบการณ์เห็นสิ่งต่าง ๆ มามากกว่า
* ในสมองมีส่วนที่เรียกว่า Anterior Cingulate Cortex ซึ่งทำหน้าที่ช่วยประมวลความสำคัญของสิ่งที่จะจำ วิทยาศาสตร์ทางสมองพบว่า แม้อายุจะมาก แต่ ACC ก็ยังทำงานในส่วนของจินตนาการได้อย่างกระปรี้กระเปร่า
* ดังนั้น ยิ่งอายุมากขึ้น ความสามารถใน(การพัฒนาทักษะ)การจำก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
* กับดักที่ทำให้คนอ่านหนังสือตกหลุมพรางและไม่ประสบความสำเร็จ มีหลายข้อ เช่น
1) การคิดว่าต้องอ่านหนังสือที่ซื้อมาให้ครบทุกตัวอักษร
2) ไม่รู้ว่าจะอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร (สมองต้องการแรงกระตุ้นจากสิ่งที่ตนสนใจ)
3) อ่านเนื้อหาจากเล่มเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบ หรือ ให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มเดียวมากไป
4) การคิดว่าคนที่อ่านจบแล้วเยอะ ๆ คือคนที่มีความรู้เยอะ (ตัวตัดสินที่แท้จริงอยู่ที่ “ความสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง”)
5) การพยายามจำหนังสือให้ได้ทั้งหมด
* ในการอ่าน รอบที่ 1 ให้ “อ่านแบบกวาดสายตา” รอบที่ 2 “อ่านอย่างละเอียด” รอบที่ 3 เป็นต้นไป ให้ “เปิดดูผ่าน ๆ”
* การตระหนักต่อเป้าหมายว่า “อ่านหนังสือเล่มนี้ไปเพื่ออะไร” คือกุญแจสู่ “ความสนุก”
* ถ้าอ่านแล้ว “สนุก” ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มใดก็จะเกิด “ความเข้าใจ” และถ้าเข้าใจก็จะสนุก ซึ่งจัดว่าเป็นวงจรความสุขอย่างหนึ่ง
* Workflow 7 ข้อสำหรับการอ่านหนังสือ
1) ต้องชัดเจนว่า “จะแก้ปัญหาอะไร”
2) เลือกหนังสือให้ตรงเป้าหมาย
3) เขียน Credo หรือ ความเชื่อในเป้าหมายลงบนกระดาษโพสต์อิท แล้วไปแปะที่หน้าแรกของหนังสือ
4) อ่านหนังสือพร้อมทำสัญลักษณ์ไปด้วย เช่น แปะโพสต์อิทและเขียนโน้ตเอาไว้
5) หาข้อมูลเกี่ยวกับส่วนที่แปะโพสต์อิทไว้จากหลาย ๆ แหล่งประกอบ
6) ทำ Mindmap โดยแปะ Credo ไว้ตรงกลาง แล้วแปะเนื้อหาไว้รอบ ๆ
7) ตรวจสอบความถูกต้องและเรียบเรียงคำพูดใหม่ไปถ่ายทอดต่อ
* การเลือกใช้ social media ที่เหมาะสมถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาจะทำให้เข้าใจมากขึ้นและจำได้มากขึ้น เช่น ถ้าใช้ทวิตเตอร์ ก็จะเป็นการฝึกสรุปเนื้อหาให้สั้นกระชับ
* ปรับเปลี่ยน “วิธีอ่าน” ให้เข้ากับหนังสือแต่ละประเภท
1) หนังสือทั่วไป ให้ใช้ “จินตนาการ”
2) หนังสืออ่านยาก ให้ใช้หลัก “ความเข้าใจ 70%”
3) หนังสือคู่มือ ให้กำหนด “เป้าหมาย” ในการอ่านให้ชัดเจน แล้วทำ mindmap ขึ้นมา
4) หนังสือเตรียมสอบ ให้ใช้ “หลักการจดจำโดยใช้สถานที่” และ mindmap
* สิ่งสำคัญคืออย่าให้มีอุปสรรค เช่น โต๊ะที่นั่งอ่านไม่สบาย หรือมีสิ่งรบกวน เช่น ข้อความจากมือถือ เข้ามาขัดขวางการอ่านหนังสือ
* ถ้าทำอะไรพลาดไป เช่น ไม่สามารถอ่านได้ต่อเนื่องทุกวัน ก็อย่าเสียใจและตำหนิตัวเอง ให้เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ และลุกขึ้นทำใหม่
* เขียนสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งหมดออกมาอย่างเป็นรูปธรรมลงบนกระดาษโพสต์อิท แล้วจะรู้สึกสมองโล่ง สบายใจขึ้น
* เขียนออกมาแล้วให้จัดหมวดหมู่เป็น
1) เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทำตอนนั้น วางไว้ก่อน
2) เรื่องที่สามารถขอร้องให้คนอื่นช่วยทำได้ ขอร้องให้คนอื่นช่วย
3) เรื่องที่สามารถทำได้ใน 5 นาที (หรือทำรวดเดียวเสร็จ) ทำทันที
4) เรื่องที่ไม่สามารถทำได้ใน 5 นาที (หรือทำในรวดเดียว) ซอยออกมาเป็นงานย่อย ๆ ที่ทำเสร็จได้ใน 5 นาที แล้วลงมือทำ
* เมื่อสามารถทำสิ่งเล็ก ๆ เสร็จไปทีละอย่าง จะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้งานถัดไปเร็วขึ้น
* สัญชาตญาณของมนุษย์คือ ความรู้สึกอยากหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบ ดังนั้นควรทำงานให้สนุกเหมือนเล่นเกม และใส่กิจกรรมคลายเครียดลงไปในตารางเวลาครั้งละประมาณ 10 นาที และจัดเป็นภารกิจที่ต้องทำด้วย
* หมั่นวิเคราะห์อยู่เสมอว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายหรือยัง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
* การทำงานหรืออ่านหนังสือที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายโดยตรง จะทำให้รู้สึกถึงพลังแห่งความสำเร็จ
* ถ้ามีวินัยทำทุกสิ่งที่ต้องทำติดต่อกันจนเป็น “กิจวัตร” ได้เหมือนการตื่นนอนขึ้นมาแล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน เป้าหมายต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ความสำเร็จในชีวิตเกิดจาก 1) การมีเป้าหมายที่ชัดเจน 2) วางแผนเส้นทางเดินไปสู่เป้าหมายให้ชัดเจน 3) รู้เทคนิคในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น การอ่าน การจำ ฯลฯ)
4) ลงมือทำอย่างกระตือรือร้นไม่ย่อท้อ 5) เชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้แม้ว่าจะพลาดไปบ้าง 6) มีวินัยทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกิจวัตร 7) หมั่นตรวจสอบเป้าหมายและจุดที่ยืนอยู่เสมอ
หนังสือชื่อ “เคล็ดลับจำแม่น เลิกซะทีกับการหลง ๆ ลืม ๆ” โดย คิมิโทชิ มิยากุจิ แปลโดย จุฑาทิพย์ บวบทอง สำนักพิมพ์ "พราว" 215 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น