ถ้าคุณกล้าไปซื้อหนังสือชื่อนี้มาอ่าน ก็นับว่าคุณเป็นคนกล้าทีเดียว
โดยเฉพาะถ้าคุณถือหนังสือเล่มนี้ไปอ่านในที่สาธารณะ
เพราะใครล่ะจะอยากประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วสมองมนุษย์มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคหินให้ “ขี้เกียจไว้ก่อน” เพื่อประหยัดพลังงานของร่างกายทั้งนั้น
ดังนั้นต่อให้คุณคิดว่าตนเองเป็นคนขยัน มีไฟ คุณก็อาจจะได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน
=ภาพรวม=
ชื่อจริง ๆ ภาษาญี่ปุ่นของหนังสือเล่มนี้คือ “กฎ 57 ข้อที่ทำให้คนขี้เกียจอย่างคุณเจ๋งขึ้นได้” โดยทั้ง 57 ข้อแบ่งออกเป็น 3 หมวดคือ ลองปรับเปลี่ยนความคิด ลองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และ ลองปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน
ผู้เขียนเป็นเจ้าของกิจการด้านการลงทุนที่มีธุรกิจอยู่ที่ญี่ปุ่นและอเมริกา เขาแบ่งคนขี้เกียจไว้หลายประเภท และเสนอข้อคิดพร้อมเหตุผลประกอบว่า ไหน ๆ จะขี้เกียจทั้งที ก็จงเป็นขี้เกียจแบบหัวก้าวหน้า คือ หมั่นคิดพลิกแพลง เพื่อจะได้ทำอะไรสำเร็จเหมือนคนที่ขยันโดยเนื้อแท้บ้าง
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* “ถ้าเป็นคนขี้เกียจ คุณต้องมีเพื่อน ถ้าคุณไม่มีเพื่อน จงอย่าขี้เกียจ” -- แซมวล จอห์นสัน นักเขียนชาวอังกฤษ
* สาเหตุส่วนใหญ่ที่คนขี้เกียจ “เริ่มต้นไม่สำเร็จ” อยู่ที่แรงจูงใจ ซึ่งควรจะมาจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก
* สาเหตุที่ “ยืนระยะไม่ได้” (รักษาสิ่งที่เริ่มต้นทำไว้ให้ได้อย่างสม่ำเสมอไม่ได้) คือขาดแรงบีบบังคับ ซึ่งสำหรับคนขี้เกียจ ควรหาจากภายนอก เช่น เพื่อนที่มีไฟ หรือองค์กรที่มีวัฒนธรรมกระตือรือร้น
* เนื่องจากคนขี้เกียจไม่ถนัดที่จะริเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าใครชวนทำอะไรก็ควรจะรับปากและทำตามเขาไปก่อน คุณอาจพบศักยภาพที่คุณคาดไม่ถึงซ่อนอยู่มากมาย
* ไม่ว่าจะริเริ่มทำอะไรใหม่ พยายามทุ่มเทในช่วง 10 วันแรกให้มากที่สุด เมื่อสมองได้รับ “ความรู้สึกดี” และสัมผัสถึงประโยชน์ที่ได้รับได้ ก็จะมีแรงจูงใจให้ทำต่อ
* อย่าเน้นที่ “ปริมาณ” มีคนขยันบางคนเน้นแต่ปริมาณ เช่น อ่านไปแล้วกี่เล่ม วิ่งไปแล้วกี่กิโล แต่ถ้าอยากสัมผัสถึงประโยชน์จริง ๆ ต้องเน้นคุณภาพ เช่น อ่านแต่หนังสือดี ๆ วิ่งให้ถูกท่า ฯลฯ
* หมั่นใช้จินตนาการว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ต้องสนุกแน่” เช่น อย่าคิดเพียงว่า “อยากพูดภาษาอังกฤษได้” แต่จงนึกให้เห็นเป็นภาพเป็นรูปธรรมว่าตัวเองได้อาศัยอยู่ที่ฮาวายและใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
* ใส่ “ความรู้สึกแบบเล่นเกม” ลงไปในทุกกิจกรรมที่ทำ เช่น มีรางวัล มีการแข่งขัน และมีบทลงโทษพอเป็นพิธี
* อย่าตีกรอบตัวเองว่า “ยังไงฉันก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
* บ้านที่ไม่เป็นระเบียบเป็นหลักฐานว่ามีความเครียดสะสมอยู่ในระดับเดียวกัน และยังเป็นหลักฐานว่านิสัยขี้เกียจเริ่มปรากฏแล้ว ควรแก้ด้วยการเชิญคนมาบ้าน เพื่อที่จะมีแรงจูงใจจัดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย
* อย่าข้องแวะกับงานอดิเรกที่ “มีภาวะเสพติดที่สิ้นเปลืองเวลา” อย่างพวกเกม หรือการดูทีวี
* ยิ่งเป็นคนขี้เกียจเฉื่อยแฉะ ยิ่งต้องดูแลร่างกายตัวเองให้มีสุขภาพดีแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายให้พอเหมาะ ปรับปรุงนิสัยการกินและการใช้ชีวิต เพราะคนขี้เกียจถ้าสุขภาพไม่ดีด้วยก็จะยิ่งแย่ทั้งกายใจ
* ควร “รู้เท่าทันเวลาที่มีอยู่” จริง ๆ เช่น ถ้ามีวันหยุดติดกัน 3 วัน ก็อย่าคิดว่ามีเวลาอยู่ 72 ชม. แต่ให้หักเวลานอนออกด้วยวันละ 8 ชม. จะพบว่าเหลือเวลาจริง ๆ เพียงแค่ 48 ชม.
* คนขี้เกียจไม่ควรเลือกการศึกษาออนไลน์ แต่ควรบังคับให้ตัวเองไปเรียนที่โรงเรียน คือต้องอาศัยแรงบีบบังคับจากภายนอกและให้มีคนคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของเรา
* สร้างความรู้สึกว่า “ได้กำไร” เช่น อ่านหนังสือบนรถไฟระหว่างไปทำงาน ออกกำลังกายในฟิตเนสพลางฟังเทปสนทนาภาษาอังกฤษ
* มีคนขี้เกียจบางพวกที่ควรเรียกว่า “ผู้นิยมความสมบูรณ์แบบชนิดแฝง” เพราะต้องการความสมบูรณ์แบบจนเริ่มต้นไม่ได้สักที ถ้าเป็นอย่างนี้สักวันจะหมดไฟ วิธีแก้คือควรหา “วันที่ขี้เกียจสุด ๆ” เอาไว้พักผ่อนกายใจให้ผ่อนคลายเต็มที่
หนังสือชื่อ “สำเร็จได้ สไตล์คนขี้เกียจ” โดย นะโอะยุกิ ฮนดะ แปลโดย สุธาสินี ขจร สำนักพิมพ์ Short Cut ในเครือสำนักพิมพ์ Amarin HOW-TO2559 152 หน้า ราคา 159 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น