วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 432 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “วิธีอ่านงบการเงินสำหรับลงทุน”

มือใหม่สนใจการลงทุนในหุ้นควรอ่านเล่มนี้ก่อน


=ภาพรวม=
ในยุคที่มีหนังสือแนะนำเรื่องการเงินการลงทุนมากมาย อาจจะมี มือใหม่(เอี่ยมถอดด้าม)หลายท่านที่สนใจจะศึกษาแต่รู้สึกท้อใจเมื่อหยิบหนังสือในร้านขึ้นมาพลิก ๆ ดู
หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณผู้อ่านโล่งใจเพราะเป็นการเริ่มต้นปูพื้นสอนการดูงบการเงิน (งบดุล, งบกำไรขาดทุน, งบกระแสเงินสด) อย่างง่ายที่สุด ที่สำคัญ หนังสือทั้งเล่มนำเสนอในรูปแบบเรื่องเล่าที่มีตัวละครเป็นการ์ตูนลายเส้นน่ารักและสอนการดูงบต่าง ๆ ด้วย infographics สีสันสวยงามตลอดเล่ม
แต่ถึงแม้จะเป็นการ์ตูนน่ารักและเข้าใจง่าย เนื้อหาก็ได้มีการหยิบยกมาจากงบการเงินจริงของบริษัทที่มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จริง ๆ อีกทั้งสอนวิธีเข้าไปศึกษาและหัดดูงบด้วยตนเองเพิ่มเติมจากเวบของ SET อีกด้วย
ผู้เขียนกล่าวว่า เพียงเข้าใจหลักการอ่านงบการเงินเบื้องต้นในหนังสือนี้ ก็สามารถคัดกรองบริษัทแย่ ๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นออกไปได้เป็นร้อยตัวทีเดียวจากหุ้นทั้งหมดห้าร้อยตัวกว่า ๆ
ผู้วิจารณ์อ่านเล่มนี้แล้วนึกถึงคำพูดของไอน์สไตน์ที่ว่า ถ้าคุณยังไม่สามารถอธิบายเรื่องใดง่าย ๆ ได้ คุณยังไม่เข้าใจเรื่องนั้น ๆ ดีพอถ้าจะวัดจากคำพูดนี้และสิ่งที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอ ผู้เขียนก็น่าจะเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องการอ่านงบการเงินได้ดีพอคนหนึ่งทีเดียว
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* งบการเงินคือภาษาธุรกิจ อ่านไม่ออกก็เหมือนลงทุนมั่ว ปิดหู ปิดตา ปิดปาก รอวันเจ๊งเท่านั้นเอง
* วิชาบัญชีที่สอนในมหาวิทยาลัยบ่อยครั้งก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเป็นการสอนการ ลงบัญชีเป็นหลัก ไม่ใช่การ อ่านงบ
* ถ้าจะจัดระดับความรู้วิชาบัญชีออกเป็น 10 ระดับ (10 คือ สูงสุด) การมีทักษะการอ่านงบอยู่ที่ระดับ 3 หรือ 4 ก็เพียงพอแล้วที่จะนำไปใช้ในการลงทุน
* เมื่อเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ ๆ กล้วยเจ๋งตัวละครเอกในเรื่องก็ฟังแต่คำแนะนำของโบรกเกอร์แล้วไปเรียนการอ่านกราฟโดยไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องการอ่านงบ ทำให้ขาดทุนย่อยยับ
* (ในเล่มมีแบบฝึกหัดให้ฝึกสร้างงบดุลขึ้นมาเองอย่างง่าย ๆ โดยใช้ของที่มีอยู่ในกระเป๋าของเราเป็นสินทรัพย์) งบดุลฝั่งซ้ายจะบอกว่าตอนนี้เรามีอะไรอยู่บ้าง มีมูลค่าเท่าไหร่ ฝั่งขวาจะบอกว่า (ถ้าเรายังผ่อนของเหล่านั้นอยู่) เรามีหนี้อยู่เท่าไหร่ และถ้าเอาค่ารวมของฝั่งซ้ายมาหักหนี้ออก ก็จะรู้ ส่วนที่เราเป็นเจ้าของจริง ๆ
* การจะรู้ว่าใครมีหนี้มากหรือหนี้น้อย ให้ดูเทียบกับสิ่งของที่เขามี ถ้าน้อยกว่าครึ่งหนึ่งก็น้อย มากกว่าครึ่งหนึ่งก็มาก หนี้มากก็เสี่ยงมาก แค่รู้ตรงนี้ก็รู้แล้วว่าบริษัทใด เสี่ยง หรือ ไม่เสี่ยง
* งบกำไรขาดทุนก็เหมือนบันทึกรายรับรายจ่ายธรรมดา (ในเล่มมีแบบฝึกหัดให้ทำตามเช่นกัน) เพียงแค่ในงบกำไรขาดทุนจะเรียกรายรับว่า ยอดขายและ รายจ่ายว่า ค่าใช้จ่าย
* วิธีวิเคราะห์กำไรง่ายที่สุดข้อเดียวก็คือ ถ้าเหลือเยอะ ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ ก็แปลว่า ดี หุ้นของบริษัทที่เหลือเกิน 10% ของรายรับถือว่าน่าสนใจ
* เท่าที่ผ่านมานี้ยังไม่จำเป็นต้องดูราคาหุ้นด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่ดูงบดุล งบกำไรขาดทุนพอเป็น ก็จะบอกได้แล้วว่าหุ้นใด ไม่น่าซื้อจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปดูราคาเลย
* งบกระแสเงินสดจะคล้าย ๆ การบันทึกไดอารี่ว่า เงินสดมาจากไหน และเงินสดไปไหน แต่หน้าตาจะแตกต่างกับงบรายรับรายจ่ายตรงในกรณีที่รายรับหรือรายจ่ายไม่ใช่ เงินสดเช่น ซื้อของมาด้วยบัตรเครดิต แต่ขายไปโดยรับเป็นเงินสด
* วิธีวิเคราะห์งบกระแสเงินสดที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าเหลือเงินสดเยอะ ๆ แปลว่า เจ๋ง!
* 1) บริษัทที่ราคาถูก เทียบกับกำไรปีก่อนที่ทำได้ ตอนนี้มีประมาณ 100 บริษัท 2) บริษัทที่ราคาถูก เทียบกับทรัพย์สินหลักหักหนี้ออก ตอนนี้มีประมาณ 150 บริษัท 3) บริษัทที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับทั้งเกณฑ์ข้อ 1 และ 2 มีราว ๆ 30 บริษัท
* สิ่งหนึ่งที่คนพลาดกันมาก คือ เมื่อเห็นบริษัทที่หนี้ไม่มาก กำไรมากกว่า 10% ทุกปี แล้วนึกว่าหุ้นดีจึงไปซื้อ แต่ไม่ได้ดูมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดซึ่งสูงเกินไป ซึ่งทำให้กว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลาหลายสิบปี ถ้าดูแต่กราฟ ฟังข่าว หรืออ่านบทวิเคราะห์ อาจจะไปเจอหุ้นอย่างนี้เข้าได้
* การลงทุนไม่ต้องทำให้ถูกจัง ๆ ทุกครั้ง ให้ถูกจัง ๆ บ้าง ถูกคร่าว ๆ บ้าง ผิดคร่าว ๆ บ้าง แต่ให้เลี่ยงการ ผิดจัง ๆก็พอ
หนังสือชื่อ วิธีอ่านงบการเงินสำหรับลงทุนโดย TactSchool สำนักพิมพ์ "พราว" มกราคม 2559 248 หน้า ราคา 200 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ของซีเอ็ดที่ลิ้งค์นี้ https://goo.gl/Lyy4xx
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน

คอลัมน์ ดร.ณัชร จัดหนังสือนี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น