คุณอยากฟังเคล็ดลับความสำเร็จจากปากประธานบริษัทสตาร์บัคส์ของญี่ปุ่นไหม
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยอดีตซีอีโอชาวญี่ปุ่นของสตาร์บัคส์ แจแปน ผู้เคยขึ้นเป็นซีอีโอของเดอะ บอดี้ ช้อป ตั้งแต่วัย 40 กว่า ๆ และได้ฝากผลงานน่าประท้บใจทำลายสถิติไว้ทั้งสองที่
แต่เขายกเครดิตความสำเร็จของทั้งสองบริษัทให้กับลูกน้องของเขาทั้งหมด
ในเล่มเขาจะมาเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือกว่า “วิธีคิด” “วิธีสื่อสาร” “วิธีบริหาร” “การตัดสินใจ” “วิธีทำงาน” “เทคนิคการอ่านหนังสือ” และ “นิสัย” ของ “หัวหน้าที่ลูกน้องอยากทำงานด้วย” นั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ผู้วิจารณ์สังเกตเห็นคือ ชื่อหนังสือภาษาญี่ปุ่นนั้นแปลตรงตัวว่า “51 วิธีคิดเพื่อที่จะได้เป็นผู้นำที่มีคน(ลูกน้อง)มาพูดด้วยว่า “ผมอยากติดตามท่านไปครับ” “
ซึ่งมีความหมายว่า ลูกน้องรักขนาดยอมร่วมเป็นร่วมตายถึงขั้นยอมย้ายงานตามไปเลย
ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนเคยมีลูกน้องมาพูดด้วยอย่างนั้นจริง ๆ!
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* คนที่ “ลูกน้องอยากให้เป็นหัวหน้า” คือหัวหน้าในอุดมคติ
* ผู้เขียนไม่เคยใช้อำนาจออกคำสั่งว่าทุกคนต้องเชื่อฟังเขาเพราะเขาเป็นหัวหน้า แต่ตั้งเป้าว่า ตัวเองจะ “เป็นหัวหน้าที่รักบริษัทยิ่งกว่าใคร และจะพยายามเพื่อทุกคน”
* ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้า คือตอนมัธยมเมื่อได้รับเลือกจากลูกทีมให้เป็นหัวหน้าทีมเบสบอลเพียงเพราะเขาลงมือทำทุกอย่างอย่างตั้งใจจริง ขยันฝึกซ้อมและเตรียมสนามทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้รับเลือกให้เป็นตัวจริงลงแข่ง
* ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ถ้าคนเราลงมือทำ ไม่ว่าอย่างไรก็จะมคนมองเห็นอย่างแน่นอน และถ้าเราตั้งใจจริง คนรอบข้างก็จะช่วยผลักดันเราขึ้นไปเอง
* ผู้เขียนยกตัวอย่างจากหนังสือที่เขาชอบมากเล่มหนึ่ง คือ “Good to Great: Why Some Companies Make the Leap...and Others Don’t” โดย จิม คอลลินส์ว่า หัวหน้า “ระดับที่ 5” หรือระดับสูงสุดนั้น ไม่จำเป็นต้องมีเสน่ห์หรือมีบารมี แต่เป็นหัวหน้าที่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก
* หัวหน้าประเภทดังกล่าว ถ้าทุกอย่างไปได้ดี จะให้เครดิตลูกน้อง แต่ถ้างานไม่ราบรื่น จะออกหน้ารับผิดชอบเอง
* ก่อนที่จะไปปกครองใคร ต้องฝึกฝนและควบคุมตนเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังควบคุมไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะไปควบคุมคนอื่นได้เลย
* การเชื่อมั่นในผลสัมฤทธิ์ของความพยายาม จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะลงมือทำและพยายามขัดเกลาตนเองไปเรื่อย ๆ ก่อนอื่นให้เริ่มทำสิ่งที่ตนเองพอจะทำได้ก่อน
* เวลาผู้เขียนจะพิจารณาว่าใครมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นหัวหน้างาน เขาจะจับตาดูเป็นพิเศษว่า คนคนนั้น “ใส่ใจคนที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า(เช่น พนักงานเสิร์ฟชา) หรือไม่” เพราะหัวหน้าที่ดีต้องใส่ใจลูกน้อง
* จงหา “พันธกิจส่วนตัว” (personal mission) ของคุณให้เจอ นั่นก็คือ จุดซ้อนกันของวงกลมสามวง ได้แก่ “สิ่งที่เรารัก” “สิ่งที่เราถนัด” และ “สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น”
* คนเป็นหัวหน้าต้องมองโลกในแง่ดีและมีความเชื่อมั่นเสมอ และต้องแสดงออกมาให้ลูกน้องเห็นด้วย อีกทั้งไม่ควรใช้คำพูดเชิงลบเด็ดขาด
* บริษัทไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคนเพียงคนเดียว ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถแก้ได้ทุกปัญหา ดังนั้นคุณควรแสดงให้ลูกน้องเห็นว่าต้องการให้ทุกคนช่วยเหลือและสนับสนุน
* การตั้งใจฟัง คำพูด และการกระทำทุกอย่าง ล้วนเป็น “การสื่อสาร” ถึงลูกน้องทั้งสิ้น
* หัวหน้าต้องหมั่นถามความเห็นลูกน้อง และควรถามความเห็นของลูกน้องตั้งแต่เริ่มกำหนดภารกิจและให้ทุกคนร่วมกันคิดว่าต้องทำอย่างไร
* เวลาประชุม ให้ถามความเห็นลูกน้องที่อายุน้อยที่สุดก่อนไล่ลำดับขึ้นมา แล้วตัวหัวหน้าเองพูดเป็นคนสุดท้าย ลูกน้องจะได้กระตือรือร้นที่จะแสดงความเห็นมากยิ่งขึ้น
* และเวลาที่ลูกน้องพูด ให้พยายามตั้งใจฟังและจดตามไปด้วย
* การสื่อสารด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย เห็นภาพชัดและติดหูจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงานได้ดี เช่น “เราจะทำให้เด็กจบใหม่ที่รับมากลายเป็นซีอีโอในอีก 20 ปีข้างหน้า”
* วิธีตำหนิที่ทำให้อีกฝ่ายไม่เสียความรู้สึกวิธีหนึ่งคือ “แม้แต่คุณยังทำไม่ได้อีกหรือ?” และควรกล่าวคำชมก่อนคำตักเตือนแนะนำเสมอ
* หัวหน้าที่ดีต้องเตรียมตัวอย่างถี่ถ้วนรอบคอบเสมอ เช่น ต้องไปดูสถานที่จริงก่อนวันกล่าวสุนทรพจน์อย่างละเอียด เช่น มีแท่นบรรยายไหม มีไมโครโฟนหรือเปล่า ไฟสปอตไลท์จะส่องจ้าเข้าตาหรือไม่
* การพูดหน้าคนจำนวนมากนั้น ถ้ามี “เนื้อหา” บวกกับ “ความตั้งใจ” ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดีแน่นอน ที่สำคัญคือต้องศึกษาก่อนว่าผู้ฟังเป็นใคร หรือผู้จัดงานคาดหวังอะไร
* จงทำตัวเป็นคนธรรมดา ๆ ก็พอ ไม่ต้องทำตัวเก่งอะไร ผู้เขียนมักจะเริ่มการบรรยายด้วยการออกตัวว่าเป็นลุงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีโชคช่วยบ้างและมาถึงจุดนี้ได้เพราะความเพียรพยายาม
* ความรู้สึกที่ว่า “อยากให้ทุกคนมีความสุข” เป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนเป็นหัวหน้า
* จงใส่ใจดูสีหน้าลูกน้อง ถ้าเขาดูเหนื่อยล้าก็จงเข้าไปทักทาย ถ้าเขาเป็นพนักงานใหม่ก็ให้ถามว่าคุ้นเคยกับงานแล้วหรือยัง
* จงสร้างความสัมพันธ์โดยไม่ต้องพึ่งพาเหล้า เมื่อจะคุยเรื่องสำคัญ ควรจะคุยอย่างมีสติ
* เวลาจะมอบหมายงานให้ลูกน้อง อย่าสักแต่ว่าบอกให้ทำอะไร แต่จงบอกด้วยว่าทำไม สำคัญอย่างไร แล้วเขาจะมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานขึ้นมาเอง
* การประเมินลูกน้องต้องถามความเห็นของลูกน้องของลูกน้องด้วย เพราะเขาจะเห็น “ตัวตนอันแท้จริง” ของหัวหน้าเขามากกว่าเรา
* ในการกำหนดนโยบาย จงกลับไปมอง “จุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง” เสมอ (ข้อนี้ตรงกับหลัก โฉะชิน ที่ทุกคนควรกลับไปนึกถึงตอนที่เราทำอะไรเป็นครั้งแรกเสมอ อ่านรายละเอียดได้ในหนังสือ วิถีดาบ วิถีเซน – ผู้วิจารณ์)
* การตั้งเป้าหมายให้ใหญ่เข้าไว้ จะทำให้เรามีพลังใจมากขึ้น
* จงประเมินลูกน้องที่กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ จงดูว่าลูกน้องได้พยายามสุดความสามารถแล้วหรือยัง ผู้เขียนเองเคยประทับใจที่เจ้านายเก่าของตนเองชมผู้เขียนสมัยเขาเป็นเซลล์ว่า “อิวะตะยื่นนามบัตรให้คนไปถึง 20,000 ใบ มากกว่าคนอื่นถึง 100 เท่า” ทั้ง ๆ ที่ตนก็อาจไม่ได้ทำยอดขายโดดเด่น
* จงเลือกที่จะเป็น “คนดี” มากกว่าเป็นคนที่ “ทำได้ดี” ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นมาเท่าไหร่ “คุณธรรม” ยิ่งสำคัญกว่า “ทักษะ”
* เวลาฟังลูกน้องรายงาน จงฟังโดยไม่นำ “ข้อเท็จจริง” มาปะปนกับ “ความคิดเห็น” ต้องหัดแยกแยะให้ออก
* หนึ่งในวิธีกระตุ้นลูกน้องให้ได้ผลคือบอกว่าให้ลุยไปเลย ถ้ามีอะไรตัวเองซึ่งเป็นหัวหน้าจะรับผิดชอบเอง
* ฝึกฝน “ความสามารถในการตัดสินใจ” อยู่เป็นประจำ จงกล้าตัดสินใจ อย่าหนีปัญหา ถ้าหัวหน้าหนีปัญหาเมื่อใดคือการพาองค์กรเข้าสู่สภาวะวิกฤติ
* ตอนเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยประธานบริษัทเกมแห่งหนึ่ง ผู้เขียนเห็นบริเวณด้านหน้าประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นหน้าตาของบริษัทถูกทิ้งให้เลอะเทอะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเพราะช่วงนั้นผลการประกอบการไม่ดี ขวัญและกำลังใจต่ำ เขาได้แจ้งไปหลายครั้งก็ยังกลับไปสภาพเดิม เขาจึงเอาถังน้ำและผ้าขี้ริ้วไปลงมือทำความสะอาดด้วยตนเอง จากนั้นปัญหาดังกล่าวก็ไม่กลับมาอีกเลย
* สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากครั้งนั้นคือ ถ้าหัวหน้าทำตัวให้ดูเป็นตัวอย่าง ความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นได้เอง
* ผู้เขียนเล่าถึงความสำคัญของการใส่ใจเรื่องเวลาที่ใช้กับผลลัพธ์ที่ได้อยู่เสมอ (หลักไคเซ็น – ผู้วิจารณ์) โดยเล่าถึงสมัยตนเองยังเป็นพนักงานวิเคราะห์การปฏิบัติงาน เคยถึงกับถือนาฬิกาจับเวลาในทุกขั้นตอนของการทำงาน ศึกษาแม้กระทั่งระหว่างการกดลิฟท์ว่า ระหว่างการกดปิดประตู กับ กดชั้นที่จะไปก่อน อย่างไหนประหยัดเวลามากกว่ากัน (มีเฉลยในหนังสือ)
* เพราะว่าเวลาไม่กี่วินาทีเมื่อสะสมตรงนี้นิด ตรงนั้นหน่อย มารวมกันตลอดปีแล้วเป็นการเสียเวลาจำนวนมากได้
* การทำสิ่งที่ทำได้ในทันทีจะทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้น
* แม้จะเป็นประธานบริษัทที่ยุ่งแค่ไหน ก็ต้องจัดเวลาไว้ทบทวนสิ่งต่าง ๆ ตามลำพังบ้างอย่างน้อยสามชั่วโมงต่อสัปดาห์ ให้เลขาล็อคเวลาไว้เพื่อที่จะไม่รับนัดอื่น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
* จงหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเอง “ยุ่ง” ให้ได้ คนหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่ละวันตนเองเสียเวลาไปกับอะไรบ้าง จงจับเวลาที่ตนเองทำงานแต่ละอย่างไปแล้ววิเคราะห์ว่างานนั้นมันสำคัญคุ้มค่าเวลาที่ทุ่มเทลงไปหรือไม่
* วิธีหนึ่งที่จะช่วยวิเคราะห์ได้คือ อย่าเพียงจด “สิ่งที่ต้องทำ” แต่จงจด “ผลลัพธ์ที่ได้มา” ของสิ่งนั้น ๆ ไว้ด้วย
* การดูแลตัวเองอย่างการพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญมากในการที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพ
* เทคนิคสำคัญที่ผู้เขียนเรียนรู้จากบริษัทที่ปรึกษาที่ตนเคยไปทำงานก็คือ สำหรับบริษัทที่ใหญ่และมีปริมาณอีเมลมาก การประหยัดเวลา “คลิกเข้าไปอ่าน” แต่ละเมลก็มีผลต่อการทำงานมาก ดังนั้นเรื่องสำคัญใดที่สามารถบอกได้สั้น ๆ ในหัวข้อเมลก็ไม่จำเป็นต้องเขียนเนื้อความอีเมลก็ได้ (คือส่งเมลที่ไม่มีข้อความ มีแต่หัวข้อ) เช่น “เลื่อนประชุมเป็นบ่าย 2 โมง” แล้วใส่เครื่องหมายดอกจันทน์ไว้ท้ายหัวข้อเมล คนอ่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลิกเข้าไปอ่าน
* แม้จะยุ่งแค่ไหนในฐานะประธานบริษัท ผู้เขียนก็ยังอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน ถ้านั่งรถไฟไปดูงานนอกสถานที่ก็จะอ่านได้ถึง 3-4 ชั่วโมง เดือนหนึ่งอ่านประมาณ 3-4 เล่ม
* ควรกลับมาอ่านหนังสือโปรดซ้ำ จะเห็นมุมมองที่เปลี่ยนไปพร้อมกับการเติบโตของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราได้เขียนเน้นข้อความเอาไว้เมื่อมาอ่านอีกครั้งจะเข้าใจตนเองมากขึ้นว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร และตอนนี้เรามีความเข้าใจมากขึ้นอย่างไร
* ถ้าเจอหนังสือดีให้ซื้อทันที เพราะถ้าวันหลังอยากอ่านอาจเกิดจำชื่อหนังสือไม่ได้ ถ้าเจอหนังสือใดมีประโยชน์ ก็จงอ่านหนังสือทุกเล่มที่คนคนนั้นเขียน
* แบ่งปันหนังสือดี ๆ ให้ลูกน้องและคนในทีมด้วย และควรออกเงินซื้อหนังสือเอง เพื่อที่จะได้ขีดเขียนเน้นข้อความสำคัญได้
* ยิ่งเริ่มอ่านหนังสือพัฒนาตนเองตอนอายุน้อยเท่าไหร่ยิ่งมีประโยชน์
* ไม่ว่าหัวหน้าจะมีความเป็นผู้นำแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสามารถชนะใจผู้อื่น
* การฝึกฝนตนเองเพื่อก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัทก็คือ หมั่นอาสารับทำงานที่ตัวเองจะได้มีโอกาสเป็นหัวหน้า ไม่ว่าจะในหรือนอกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าโครงการ หรือหัวหน้าทีม ต้องเก็บประสบการณ์เอาไว้มาก ๆ
* การเป็นหัวหน้าไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรมากมาย แค่พร้อมที่จะสละตัวเองเพื่อลูกน้องและบริษัท แค่นี้ก็พอแล้ว
หนังสือชื่อ “51 วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากทำงานด้วย” โดย อิวะตะ มัตสึโอะ แปลโดย ภาณุพันธ์ ปัญญาใจ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 330 หน้า ราคา 240 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น