คุณเคยลืมนู่นลืมนี่กันบ้างไหม
จะดีไหมถ้าอาจารย์เจ้าของรร.กวดวิชาดังในญี่ปุ่น จะมาสอนเทคนิคการจำให้คุณ
แล้วถ้าอาจารย์คนนั้นสอนมากกว่าเทคนิคการจำล่ะ?
=ภาพรวม=
ถ้าคุณชอบอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองจากญี่ปุ่น คุณคงจะคุ้นเคยกับอาจารย์อิโต ผู้เขียนเล่มนี้ดี เพราะมีหนังสือของอาจารย์อิโตที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยมาอย่างน้อยสองเล่มก่อนหน้านี้แล้วที่คอลัมน์นี้เคยเขียนถึง คือ “จงถ่ายเอกสารหน้าสารบัญ แล้วคุณจะเรียนเก่งขึ้น” กับ “ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล แค่ใช้เวลาให้เป็น”
อาจารย์อิโตเป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชาที่ติวการเข้าสอบเนติบัณฑิต ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการสอบที่ “หิน” ที่สุดอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น
เทคนิคต่าง ๆ ในหนังสือนี้ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ตรงของอาจารย์อิโตเองที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียว บางเทคนิคคุณผู้อ่านอาจจะเคยทำอยู่แล้ว บางเทคนิคก็น่าสนใจดี
หนังสือของอาจารย์อิโตทุกเล่มมีลักษณะคล้ายกันอยู่หนึ่งอย่าง คือ ถึงแม้ชื่อหนังสือแต่ละเล่มจะฟังดูแล้วเป็นการเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพตนเองเพื่อความสำเร็จในการเรียนและ/หรือการงาน แต่พอเข้าช่วงท้ายเล่มอาจารย์อิโตมักพูดถึงเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตเพื่ออุทิศให้สังคมและคุณธรรมต่าง ๆ
ซึ่งอาจารย์อิโตคิดว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าที่จะทำให้ทั้งประสบความสำเร็จและมีความสุข
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* สิ่งที่จำเป็นในการจำ ไม่ใช่ความฉลาดหรือความอ่อนเยาว์หรือความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณมี “ทักษะการจำ” (ซึ่งสามารถฝึกขึ้นมาได้) หรือไม่
* ทักษะการจำให้แม่นและความสามารถเรียกความทรงจำขึ้นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพล้วนเป็นเรื่องของการ “ตั้งสติ” ทั้งสิ้น
* ความทรงจำคือตัวตนของคนคนนั้น การจดจำอะไรและดึงสิ่งใดออกมา นั่นแหละคือตัวตัดสินชีวิตของคนคนนั้น
* สมมติว่าต่อให้สอบไม่ผ่าน แต่หากมองว่าอย่างน้อยการสอบครั้งนั้นก็มีความหมายสำหรับเรา มันก็จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีได้ การ “ควบคุมความจำ” เช่นนี้ ทำให้เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
* เวลาอ่านหนังสือ หากเปลี่ยนประเด็นการมองก็จะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ทุกครั้งที่อ่านซ้ำ
* มนุษย์เราจะสามารถรับได้เพียงข้อมูลที่ตนต้องการเท่านั้น
* ลองแก้โจทย์ที่ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ภายใน 40 นาทีดู
* ถ้าสมองรู้สึกคุ้นชินกับการทำอะไรสักอย่างไปแล้ว ไม่รู้สึกว่าต้องเพ่งสมาธิกับสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้ว เช่น การใช้ตะเกียบ สมองจะตัดสินว่าเพียงพอแล้ว และหยุดการพัฒนา
* เมื่อมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในเป้าหมาย ก็จะทำให้จำได้ง่ายขึ้น วิธีหนึ่งที่จะเพิ่มความสนใจได้ก็คือ ลองนึกว่าจะเอาข้อมูลที่อ่านไปใช้อย่างไรให้เป็นรูปธรรม
* ความทรงจำมีสองประเภท คือ 1) ความทรงจำเชิงความรู้ หรือ ความทรงจำเชิงความหมาย และ 2) ความทรงจำเชิงประสบการณ์ หรือ ความทรงจำภาพเหตุการณ์
* ความทรงจำเชิงความรู้ คือ ความทรงจำนามธรรมที่ได้จากตำราเรียน เช่น ค่าพาย ปีในประวัติศาสตร์ หรือ มาตรากฏหมาย
* ความทรงจำเชิงประสบการณ์ คือ ความทรงจำซึ่งเกิดขึ้นมาจากประสบการณ์หรือเรื่องราวชีวิตของตนเอง
* ความทรงจำเชิงความรู้ลืมได้ง่าย แต่หากกลายเป็นความทรงจะเชิงประสบการณ์จะลืมยาก ดังนั้น ถ้าทำได้ให้ลองไปในสถานที่จริง (ในประวัติศาสตร์) ดู ลองจับสิ่งต่าง ๆ ดู จะทำให้จำได้ดีขึ้น
* การผูกข้อมูลเข้ากับอารมณ์ต่าง ๆ จะทำให้จำได้ง่ายขึ้น ถ้าจะจำเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ให้สมมติตนเป็นคนในประวัติศาสตร์คนนั้น ๆ ดู ลองคิดว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วจะจำเรื่องเขาได้ราวกับประวัติชีวิตตนเอง
* ถ้าเราไม่มีความสนใจในสิ่งนั้น ๆ เราก็จะจำไม่ได้
* ความสามารถในการจำจะลดลงเมื่อเราเครียด ถ้าเครียดน้อยลง จะจำได้มากขึ้น
* หากการเรียนหรือการงานเราจำได้ดี แต่ชีวิตประจำวันกลับขี้ลืม แสดงว่าไม่มีความสนใจด้านการใช้ชีวิตนั่นเอง (น่าจะหมายถึง ไม่มีสติมากพอ – ผู้วิจารณ์)
* วิธีหนึ่งในการจำ คือการทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดเสียก่อน
* “เส้นโค้งการลืม” ของเอ็บบิงเฮาส์ นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ระบุว่า เมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที มนุษย์เราจะลืมเรื่องราวไป 42% และจดจำได้เพียง 58% เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงจะลืมไป 56% และจำได้เพียง 44%
หลังผ่านไป 1 วัน จะลืมไป 73% เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ จะลืม 77% และเมื่อผ่านไป 1 เดือน จะลืมถึง 78%
* ดังนั้น เวลาที่เหมาะสำหรับการทบทวนบทเรียน คือ ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากเรียนเสร็จ เมื่อความทรงจำส่วนใหญ่ยังหลงเหลืออยู่
* ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการทบทวนอีกช่วงหนึ่ง คือ 5 นาทีก่อนนอน วิชาวิทยาศาสตร์ทางสมองพบว่า ระหว่างนอนหลับ มนุษย์จะเรียบเรียงความทรงจำและทำมันติดแน่น
* วิธี “ฮินดูเมธอด” คือ ก่อนที่จะทบทวนสิ่งที่เรียนใหม่ไปในวันนี้ ให้ทบทวนบทก่อนหน้าทุกบทอย่างคร่าว ๆ ก่อน หรือก่อนการท่องคำศัพท์ใหม่ 10 คำวันนี้ ก็ให้ทวนคำศัพท์ในบทก่อน ๆ ทุกบทอย่างคร่าว ๆ ก่อน
* เคล็ดลับการจำ ไม่ใช่การเริ่มท่องจำหลังจากทำโพยช่วยจำเสร็จ แต่ให้เริ่มจำตั้งแต่ทำโพยเลย โดยพยายามใช้แผนภาพ ตาราง สรุปรวมเป็น mindmap
* การฟังเลคเชอร์แบบพยายามจดจำรายละเอียดแล้วมาเลคเชอร์ตัวเองปากเปล่าภายหลังก็ช่วยในการจำได้ดี
* คนที่จำได้ไม่จำเป็นต้องสอบผ่านเสมอไป ผู้ที่สอบผ่านคือผู้ที่ให้ความสำคัญกับการจำโดยคำนึงถึงการนำเนื้อหาส่วนนั้นไปใช้งานได้อย่างคุ้นชิน
* เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ในสมองนั้นเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทอื่น ๆ จำนวนถึงหนึ่งหมื่นเซลล์ และสื่อสารกันด้วยสัญญาณไฟฟ้า เมื่อได้รับการกระตุ้นอะไรสักอย่าง พอสัญญาณส่งถึงเซลล์ประสาท มันจะตัดสินใจว่าจะส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทอื่น ๆ หรือไม่
หากได้รับสัญญาณเหมือน ๆ กันอย่างเข้มข้นมาจากเซลล์จำนวนมาก สมองจะจัดว่า “นี่คือสัญญาณสำคัญ” และส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทอื่น ๆ การเพิ่มความเข้มข้นให้สัญญาณดังกล่าว คือการอดทนทบทวนสิ่งที่ต้องการจำซ้ำ ๆ เพื่อสร้างแรงกระตุ้นว่า “นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำ” นั่นเอง
* คนเราเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนวิธีที่เราให้ความหมายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้
* มนุษย์เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยกำลังความสามารถของตัวเองเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยธรรมชาติและยืมกำลังคนรอบตัวอยู่ด้วย พลังในการถ่อมตนเป็นสิ่งสำคัญ
* หากผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความถ่อมตนเพิ่มขึ้น ความสุขของปัจเจกบุคคลและของสังคมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
* แม้เป็นชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ก็ให้เลือกสิ่งที่น่าสนใจออกมา สัมผัสถึงมัน สร้างเป็นความทรงจำใหม่ แล้วพัฒนามันต่อไป ให้ความหมายเชิงบวกกับมัน ถ้าทำได้เช่นนั้น ย่อมมีความทรงจำที่ดีได้
* หากสร้าง “ความทรงจำที่ดี” ได้ “อนาคตที่ดี” ก็จะมาเอง หากเก็บสะสมความทรงจำที่ดี ย่อมกลายเป็นมนุษย์ที่ดีได้
* สิ่งที่ตัวเราจดจำได้ คือสิ่งที่สำคัญต่อเราจริง ๆ ดังนั้นความทรงจำที่อยู่ในสมองของเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนแต่เป็นความทรงจำที่สำคัญ จงโอบกอดสิ่งนั้น แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป
* ขอให้ทุกคนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน ไม่ว่ามีอำนาจมากเพียงใดในอนาคต จงวางตัวเองอยู่ต่ำได้ ขอให้มีความถ่อมตนในฐานะมนุษย์ได้ตลอดไป
หนังสือชื่อ “เทคนิคจำแม่นที่ใช้ได้ผลแม้แต่กับคนขี้ลืม” โดย มาโคโตะ อิโต แปลโดย มนชนก มากบุญประสิทธิ์ สำนักพิมพ์ Ganbatte 2560 200 หน้า ราคา 169 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
-------------------------------------------------
-------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น