วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 468 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือ ชื่อ “ฝึกสมองให้ฉับไว แค่ทำอะไรต่างจากเดิม”

การฝึกสมองป้องกันสมองเสื่อมไม่ได้เป็นเรื่องยาก
แพทย์ญี่ปุ่นท่านหนึ่งบอกว่า เพียงเดินเท้าเปล่าบนหาดทรายก็ได้ฝึกสมองแล้ว


=ภาพรวม=
ยุคนี้มีหนังสือเกี่ยวกับสมองออกมามาก หลายเล่มเป็นฉบับแปลจากแพทย์ญี่ปุ่น เล่มนี้ก็เช่นกัน เกร็ดที่น่าสนใจคือคุณหมอท่านนี้อยากเป็นแพทย์เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาสมองมาตั้งแต่อายุ 14
ครึ่งเล่มแรกจะเล่าถึงองค์ประกอบของสมองและการทำงานของส่วนต่าง ๆ โดยยกประเด็นที่ว่า สมองจะยังคงกระปรี้กระเปร่าสดใสเยาว์วัยอยู่ได้เพราะยังมี “ความต้องการ” ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ อยู่
จากนั้นจึงแบ่งสมองออกเป็นส่วนต่าง ๆ และครึ่งเล่มหลังจะเป็นเทคนิคการบริหารสมองเพื่อไปกระตุ้นความต้องการของส่วนต่าง ๆ นั่นเอง
ครึ่งเล่มแรกอาจจะหนักอยู่สักหน่อย คือจะมีกลิ่นอายของตำราเรียนซึ่งถ้าท่านไม่ได้สนใจเรื่องสมองอย่างจริงจังอ่านแล้วก็อาจจะท้อใจได้
แต่ครึ่งเล่มหลังก็จะกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือส่วนที่เป็นเทคนิคการบริหารสมองส่วนต่าง ๆ นั้นง่ายอย่างไม่น่าเชื่อจนท่านสามารถอ่านรวดเดียวจบได้อย่างสบาย ๆ
ดังนั้นถ้าท่านไม่ได้สนใจเรื่ององค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ของสมองหรือการทำงานของสมองนัก จะข้ามไปอ่านส่วนหลังแล้วลงมือฝึกเลยคุณหมอผู้เขียนก็ไม่น่าจะว่าอะไร
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* สมองของเราจะทำงานอย่างกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาได้อยู่เสมอก็ต่อเมื่อมีความต้องการ
* ความต้องการคือ พลังงานที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ เช่น “อยากทำ...” “อยาก...” พลังงานที่ว่านี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านพฤติกรรมและความคิดของมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่
* สมองกลีบขมับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับความทรงจำและการทำความเข้าใจจะเติบโตเต็มที่ในวัย 30
* สมองกลีบข้างซึ่งทำหน้าที่ประมวลและตีความข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าจะเติบโตเต็มที่ในวัย 40
* การเติบโตของสมองกลีบหน้าซึ่งควบคุมดูแลความสามารถในการลงมือปฏิบัติและการตัดสินใจจะปรากฎหลังวัย 50
* พลังที่จะลงมือทำด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าเพื่อให้บรรลุความต้องการนั้นเกิดมาจากสมองกลีบหน้า
* การศึกษาในโรงเรียน(แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม)ไม่เปิดโอกาสให้ความต้องการมีอิสระเสรี เช่น แม้ตอนนั้นจะอยากวาดรูปแค่ไหนแต่ถ้าอยู่ในคาบวิชาประวัติศาสตร์ก็ต้องทนท่องจำปีต่าง ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นสาเหตุให้เราทุกคนต้องทนเก็บความต้องการเอาไว้
* ความต้องการไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากขาดข้อมูล แต่ในยุคปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากเกินไป จนกลายเป็นเหตุให้สมดุลระหว่างข้อมูลกับความต้องการย่ำแย่ลงอย่างสุดโต่ง ทำให้สมองไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการทำอะไร เลยได้แต่กระโจนเข้าหาของฮิตติดกระแส
* แต่การทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าทำให้สมองทำตาม ๆ คนอื่นไปโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย (ไม่ได้คิดแม้แต่ว่าจริง ๆ แล้วตนเองต้องการอะไรกันแน่) ยิ่งไม่ต้องคิดอะไรมากเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งฝ่อเร็วมากเท่านั้น
* เดิมทีสมองทำงานตามวงจรธรรมชาติ คือเริ่มทำงานเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและหยุดเมื่อพระอาทิตย์ตก และรีเซตตัวเองระหว่างที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อน แต่ถ้าเราเล่นเน็ตจนดึกดื่น สมองย่อมไม่มีเวลาสำหรับรีเซตตัวเอง ท้ายสุดก็จะติดอินเตอร์เน็ตอย่างช่วยไม่ได้
* การหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดดูทุกครั้งที่มีเวลาว่าง การเปิดดูข้อความซ้ำไปซ้ำมา การเข้าเว็บไซตข่าวเพราะทนอยู่ว่างไม่ได้ ก็ถือเป็นการติดลักษณะหนึ่งเช่นกัน
* เราสามารถใช้เทคนิคการ “สลับการทำงานของเขตสมอง” เพื่อช่วยยับยั้งความต้องการที่เตลิดไปได้ เช่น เมื่อหยุดรับประทานมันฝรั่งทอดไม่ได้ ให้ลองใช้ปากกับกิจกรรมอื่นดู เช่น เป่าฮาร์โมนิก้า เป่าลูกโป่ง หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง
* นอกจากการฝึกจิตให้เข้มแข็งด้วยการนั่งสมาธิแล้ว การใช้ศิลปะหรือกีฬาก็ช่วยได้
* ถ้านอนไม่พอ ความสามารถในการพิจารณาตัดสินของสมองก็จะลดลง เช่น อาจพ่ายแพ้ต่ออาหารจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้รับประทานเกินความต้องการ เกินพอดี
* ควรนอน 6-7 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้านอนมากกว่า 10 ชั่วโมงถือว่ามากเกินพอดี
* เทคนิคการควบคุมความต้องการอย่างหนึ่งคือ ยกเวลาสำหรับบรรเทาความต้องการไปไว้ในอนาคต เช่น การท่องหนังสือสลับกับการพักเล่นเกมทุกชั่วโมงจะไม่ทำให้สมองพึงพอใจเท่าการท่องหนังสือรวดเดียวแล้วยกเวลาเล่นเกมไปไว้เป็นรางวัลรวดเดียวตอนอ่านหนังสือเสร็จ วิธีนี้สมองจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการท่องหนังสือมากกว่า
* ปี 2014 ในประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนผู้มีอายุมากกว่า 100 ปีรวมทั้งสิ้น 58,820 คน เป็นผู้หญิงถึง 87.1% และเป็นผู้ชายเพียง 12.9% เท่านั้น คุณหมอผู้เขียนวิเคราะห์ว่า สาเหตุหนึ่งที่ผู้หญิงมีสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าผู้ชายก็เพราะว่าสมองมีความต้องการใหม่ ๆ ที่จะเรียนรู้และทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
* ผู้ชายมักจะเริ่มมีภาวะขาดความต้องการที่จะเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ ๆ ตั้งแต่วัย 50 ปีขึ้นไป
* รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้หญิงญี่ปุ่นดีต่อสมองมากกว่าผู้ชาย (ในเล่มมีอธิบายข้อแตกต่าง 5 ข้อ) ข้อหนึ่งคือผู้หญิงมีความสนใจใคร่รู้เปี่ยมล้น หรือชอบความท้าทาย ส่วนผู้ชายมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง หรือชอบหลีกเลี่ยงความท้าทาย
* สมองมี “ระบบอัตโนมัติ” เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสบาย นั่นก็คือ สมองมีแนวโน้มที่จะเลือกสิ่งซึ่งไม่เป็นภาระสำหรับตน แต่ในแง่พัฒนาสมองแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าการรู้จักเติมสิ่งใหม่ ๆ หัวข้อใหม่ ๆ ใหสมองได้ขบคิดตลอดเวลา
* เมื่ออายุย่างเข้าเลขสามต้องระวังการเกิด “ความเคยชิน” ต่อสิ่งต่าง ๆ เพราะชีวิตมีแนวโน้มที่จะซ้ำซากจำเจ ผุ้ที่อยู่ช่วงวัยสามสิบควรต้องเสริมสร้างเอกลักษณ์ใหกับสมองด้วยการมองหาสิ่งที่ตัวเองชอบหรือถนัด
* ในสมองของเราทุกคนมีเซลล์ซึ่งจะคงอยู่ในสภาพเดิมนับตั้งแต่ตอนที่เราลืมตาดูโลก เรียกว่า “เซลล์ความสามารถซ่อนเร้น” และเซลล์นี้จะยังคงอยู่ในสมองแม้ว่าอายุจะเกิน 100 ปีแล้วก็ตาม เซลล์เหล่านั้นรอแรงกระตุ้นจากเราอยู่
* ดังนั้นถ้าเราไม่ยอมทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ก็เท่ากับเซลล์ดังกล่าวถูกทอดทิ้ง ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาแสดงศักยภาพ
* จงใช้ชีวิตเหมือนอายุเพิ่ง 16 ปี เพราะการดำรงชีวิตโดยคิดว่าตนอายุยังน้อยอยู่นั้น ส่งผลดีต่อสมองมากกว่า ประการแรกจะทำให้มีความอยากรู้อยากเห็นและทดลองประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ประการณ์ที่สองเป็นการปลดปล่อยไม่ให้ความต้องการถูกสกัดกั้น
* ถ้าลองหมุนเข็มนาฬิกาของตนเองย้อนกลับไปที่อายุ 16 ปีเดี๋ยวนี้ เราจะพบกับความต้องการที่ผ่านมาไม่เคยมองเห้นมาก่อน
* จงเขียนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในจินตนาการออกมา เพราะคุณลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของสมองคือ เมื่อทิศทางสำหรับลงมือทำชัดเจนเมื่อไร เราก็จะพยายามทำสิ่งนั้นให้เกิดเป็นจริงขึ้นมา
* ผู้ที่ชอบแต่อยู่ในโลกของตนเอง ไม่ชอบทำกิจกรรม มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมค่อนข้างมาก ดังนั้น การพบปะผู้คน การไปท่องเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ จึงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุมาก เพราะเปรียบเหมือน “การหลุดพ้นจากระบบอัตโนมัติ” ของสมอง
* กิจกรรมแนะนำในการฝึกสมองสำหรับคู่รักคือ ลองขึ้นชิงช้าสวรรค์แบบไม่คุยอะไรกันเลย สมองฝ่ายพิจารณาสีหน้าและการเคลื่อนไหวร่างกายจะทำงานมากขึ้น
* ในงานสังสรรค์เพื่อนเก่า อย่าเอาแต่พูดถึงความทรงจำเก่า ๆ สมองจะได้รับการกระตุ้นมากกว่าถ้าลงมือทำกิจกรรมใหม่ ๆ เช่น ไปเดินทางไกลด้วยกัน ทำกิจกรรมด้านสังคมด้วยกัน หรือชวนกันไปเล่นกีฬา
* การเคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อซับซับรสชาติความอร่อยที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะช่วยให้สมองหลายส่วนได้รับการกระตุ้น
* ประสบการณ์การเคลื่อนไหวซึ่งต่างไปจากที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเท้าเปล่าบนหาดทราย ล้วนเป็นปัจจัยการกระตุ้นสมองชั้นยอด
* การเดินไปเคี้ยวหมากฝรั่งไป การอาบน้ำด้วยมือข้างที่ถนัดสลับกับมือข้างที่ไม่ถนัด และการอ่านบทสวดมนต์ออกเสียงตอนเช้า 10 นาที ล้วนเป็นการช่วยฝึกสมอง
* สำหรับการสวดมนต์ คุณหมอผู้เขียนบอกว่าจะใช้ได้ดีเป็นพิเศษถ้าบทสวดมนต์ที่อ่านเป็นตัวอักษรคันจิหรือตัวอักษรจีน เพราะจะไปกระตุ้นสมองซีกขวาซึ่งประมวลผล “รูปภาพ” เพราะแต่ละ “ภาพ” หรือตัวอักษรมีความหมายในตัวของมันเอง ในขณะที่ประสาทการฟังจะถูกส่งเข้าไปแปลเป็นคำพูดในสมองซีกซ้าย
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* การมีสติอยู่กับกายและใจ กับประสาทสัมผัสทั้งห้า และมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ล้วนเป็นการฝึกสมองได้ทั้งสิ้น
หนังสือชื่อ “ฝึกสมองให้ฉับไว แค่ทำอะไรต่างจากเดิม” โดย คาโต้ โทะชิโนะริ แปลโดย อนิษา เกมเผ่าพันธ์ สำนักพิมพ์ Amarin HOW-TO 206 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น