มาศึกษาวิธีฝึกสมองให้เต็มศักยภาพแบบญี่ปุ่นกัน
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้จะมีแบบฝึกหัดให้คุณผู้อ่านทดสอบเพื่อดูว่าสมองตัวเองเป็นประเภทใดใน
4 แบบ คือ สมองแบบวีนัส แบบแซทเทิร์น แบบจูปีเตอร์ หรือแบบเมอร์คิวรี
จากนั้นจะแนะนำวิธีฝึกพัฒนาสมองทั้งเพื่อพัฒนาให้เต็มศักยภาพและป้องกันอาการสมองเสื่อมให้เหมาะกับสมองแต่ละประเภท
โดยมีการอธิบายอย่างละเอียดว่ากิจกรรม 53
ประเภทที่แนะนำให้ทำนั้นไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนไหนบ้าง
เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย
โดยเฉพาะผู้อ่านที่กำลังจะเข้าวัยสูงอายุ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* สมอง ยิ่งใช้ก็ยิ่งพัฒนา
ไม่ใช้ก็ยิ่งถดถอยแม้แต่ในคนวัยหนุ่มสาว นอกจากนี้เมื่อความเครียดสูงขึ้น
การทำงานของสมองก็จะด้อยลง
* การทำให้เลือดเวียนเข้าสู่สมองอย่างสมดุล
จำเป็นต้อง “สร้างสิ่งปลุกเร้าใหม่เพื่อกระตุ้นสมอง” อย่างไรก็ตาม
การรักษาความสมดุลระหว่าง “ความเคยชิน” กับ
“สิ่งแปลกใหม่” เป็นเรื่องสำคัญ
* “สิ่งแปลกใหม่” ที่จะช่วยกระตุ้นสมอง คือ 1)
สิ่งท้าท้ายในโลกที่เราไม่รู้จักมาก่อน 2) การทำเรื่องที่ไม่ถนัดหรือว่ายาก 3)
ทำสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก 4) ทำสิ่งที่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย
* คนที่รู้สึกว่าตนเอง “ทำงานได้ไม่ดี” “ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่คนอื่นพูด” หรือ
“ใช้คำพูดไม่ค่อยถูก” มาจากการใช้ชีวิตประจำวันโดยใช้สมองเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย
* ยิ่งมีการกระตุ้นสมองน้อย
สมองก็จะอยู่ในสภาพพักการทำงาน ต้นเหตุคือการใช้ชีวิตอย่างจำเจ อย่างเช่น
เอาแต่ดูโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ค่อยสร้างกิจกรรมให้ร่างกาย
การไม่ทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
* วิธีฝึกสมองแบ่งได้เป็นหมวดใหญ่ ๆ 12
หมวดด้วยกันคือ 1) ใช้ร่างกาย
การทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือการเดิน 2) เปล่งเสียง
การอ่านออกเสียงทำให้เรามีสติเรื่อง “การถ่ายทอด” 3) เขียนด้วยมือ 4) ใช้ปลายนิ้วทำงานที่ละเอียดอ่อน
5) ฝึกฝนประสาทสัมผัสทั้ง 5
6) วางแผน 7) ขยายกรอบความคิด 8)
ใช้ความเครียดให้เป็นประโยชน์ 9) ฉีกธรรมเนียมปฏิบัติ 10)
ลองทำเรื่องยากหรือเรื่องที่ไม่ถนัด 11) ทำเรื่องแปลกใหม่หรือเรื่องยุ่งยาก 12)
สร้างจังหวะที่ชีวิตที่เหมาะสมกับตน
* การหัวเราะเรื่องที่คนอื่นเล่าจะต้องใช้ความสนใจและจินตนาการ
สมองจะได้ทำงานในเวลานั้น การหัวเราะไม่เพียงสร้างผลดีต่อระบบประสาทเท่านั้น
ยังมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นด้วย
* ฝึกการเขียนด้วยมือบ่อย ๆ
และควรฝึกการสรุปประเด็นและจับใจความด้วย แม้แต่การเขียนสรุปใจความสำคัญของข่าวทางโทรทัศน์หรือวิทยุก็สามารถใช้เป็นการฝึกได้
*
การฝึกใช้นิ้วของมือข้างที่ไม่ถนัดสมองจะได้รับแรงกระตุ้นเพราะเป็นการสร้างเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เช่น การใช้มือข้างที่ไม่ถนัดพิมพ์ข้อความในมือถือ เปิดลูกบิดประตู ถือแก้วกาแฟ
หรือแปรงฟันก็ได้
*
สิ่งสำคัญคือการพยายามใช้ทั้งสองมืออย่างสมดุล
สมองซีกซ้ายที่ขยับมือขวาและสมองซีกขวาที่ขยับมือซ้ายจะมีความสัมพันธ์กัน
*
การลุกขึ้นแต่งตัวสามารถสร้างความกระตือรือร้นให้อยากออกไปข้างนอก
และสร้างความรู้สึกที่แปลกใหม่ให้กับเราได้ด้วย สามารถช่วยให้ผู้ที่อยู่ในช่วงอารมณ์ซึมเศร้ารู้สึกดีขึ้นได้ด้วย
*
สมองกลีบหน้าจะอยู่ในสภาพพักการทำงานเมื่อได้ฟังมุขฝืด
แต่ตอนที่ตนเองคิดและพูดมุขตลกออกไป
สมองกลีบหน้ากลับทำงานไม่ว่ามุขของตนเองนั้นจะตลกหรือไม่
*
การฟังดนตรีคลาสสิคมีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นสมองส่วนที่สำคัญต่อความจำ
หากเป็นไปได้ควรหาโอกาสไปฟังคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคสด ๆ
จะกระตุ้นสมองได้ดีกว่าการฟังที่บ้าน
* การกำหนด “เส้นตาย” ให้กับตนเองในการทำงานต่าง ๆ
เป็นความเครียดชนิดดี ช่วยให้สมองทำงานเร็วขึ้น
และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำงานด้วย
* ระหว่างการดูโทรทัศน์หรือินเทอร์เน็ต
สมองจะอยู่ในสภาพพักการทำงาน
ดังนั้นไม่ควรทำกิจกรรมดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะทำให้สมองเฉื่อยชา
* เมื่อความคิดมาถึงทางตัน
อย่าครุ่นคิดจนอดหลับอดนอน
ควรนอนหลับสักตื่นหนึ่งเพื่อให้มีการจัดระเบียบความคิดระหว่างนอน นอกจากนั้นยังทำให้การจดจำของสมองดีกว่าด้วย
* ระหว่างการเคี้ยวอาหาร
สมองใหญ่จะมีการรับรู้ความรู้สึกทำให้กระแสเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น
และทำให้การทำงานของเซลล์ประสาทในสมองใหญ่ตื่นตัวอีกด้วย ยิ่งอายุมากขึ้น
ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนครั้งในการเคี้ยวอาหารเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น
หนังสือชื่อ “53 รูปแบบชีวิตพิชิตสมองเสื่อม” โดย
Yoneyama Kimihiro แปลโดย
พีรวัธน์ เสาวคนธ์ Nation
Books ธันวาคม 2554 128 หน้า ราคา 175 บาท
มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปและที่เว็บไซต์ซีเอ็ด ตามลิ้งค์นี้ https://goo.gl/RWu4Fk
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60
เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*
แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้
จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น