วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 437 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “53 รูปแบบชีวิตพิชิตสมองเสื่อม”

มาศึกษาวิธีฝึกสมองให้เต็มศักยภาพแบบญี่ปุ่นกัน


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้จะมีแบบฝึกหัดให้คุณผู้อ่านทดสอบเพื่อดูว่าสมองตัวเองเป็นประเภทใดใน 4 แบบ คือ สมองแบบวีนัส แบบแซทเทิร์น แบบจูปีเตอร์ หรือแบบเมอร์คิวรี จากนั้นจะแนะนำวิธีฝึกพัฒนาสมองทั้งเพื่อพัฒนาให้เต็มศักยภาพและป้องกันอาการสมองเสื่อมให้เหมาะกับสมองแต่ละประเภท
โดยมีการอธิบายอย่างละเอียดว่ากิจกรรม 53 ประเภทที่แนะนำให้ทำนั้นไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนไหนบ้าง
เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะผู้อ่านที่กำลังจะเข้าวัยสูงอายุ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* สมอง ยิ่งใช้ก็ยิ่งพัฒนา ไม่ใช้ก็ยิ่งถดถอยแม้แต่ในคนวัยหนุ่มสาว นอกจากนี้เมื่อความเครียดสูงขึ้น การทำงานของสมองก็จะด้อยลง
* การทำให้เลือดเวียนเข้าสู่สมองอย่างสมดุล จำเป็นต้อง สร้างสิ่งปลุกเร้าใหม่เพื่อกระตุ้นสมองอย่างไรก็ตาม การรักษาความสมดุลระหว่าง ความเคยชินกับ สิ่งแปลกใหม่เป็นเรื่องสำคัญ
* สิ่งแปลกใหม่ที่จะช่วยกระตุ้นสมอง คือ 1) สิ่งท้าท้ายในโลกที่เราไม่รู้จักมาก่อน 2) การทำเรื่องที่ไม่ถนัดหรือว่ายาก 3) ทำสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก 4) ทำสิ่งที่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย
* คนที่รู้สึกว่าตนเอง ทำงานได้ไม่ดี” “ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่คนอื่นพูดหรือ ใช้คำพูดไม่ค่อยถูกมาจากการใช้ชีวิตประจำวันโดยใช้สมองเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย
* ยิ่งมีการกระตุ้นสมองน้อย สมองก็จะอยู่ในสภาพพักการทำงาน ต้นเหตุคือการใช้ชีวิตอย่างจำเจ อย่างเช่น เอาแต่ดูโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ค่อยสร้างกิจกรรมให้ร่างกาย การไม่ทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
* วิธีฝึกสมองแบ่งได้เป็นหมวดใหญ่ ๆ 12 หมวดด้วยกันคือ 1) ใช้ร่างกาย การทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือการเดิน 2) เปล่งเสียง การอ่านออกเสียงทำให้เรามีสติเรื่อง การถ่ายทอด3) เขียนด้วยมือ 4) ใช้ปลายนิ้วทำงานที่ละเอียดอ่อน 5) ฝึกฝนประสาทสัมผัสทั้ง 5
6) วางแผน 7) ขยายกรอบความคิด 8) ใช้ความเครียดให้เป็นประโยชน์ 9) ฉีกธรรมเนียมปฏิบัติ 10) ลองทำเรื่องยากหรือเรื่องที่ไม่ถนัด 11) ทำเรื่องแปลกใหม่หรือเรื่องยุ่งยาก 12) สร้างจังหวะที่ชีวิตที่เหมาะสมกับตน
* การหัวเราะเรื่องที่คนอื่นเล่าจะต้องใช้ความสนใจและจินตนาการ สมองจะได้ทำงานในเวลานั้น การหัวเราะไม่เพียงสร้างผลดีต่อระบบประสาทเท่านั้น ยังมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นด้วย
* ฝึกการเขียนด้วยมือบ่อย ๆ และควรฝึกการสรุปประเด็นและจับใจความด้วย แม้แต่การเขียนสรุปใจความสำคัญของข่าวทางโทรทัศน์หรือวิทยุก็สามารถใช้เป็นการฝึกได้
* การฝึกใช้นิ้วของมือข้างที่ไม่ถนัดสมองจะได้รับแรงกระตุ้นเพราะเป็นการสร้างเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การใช้มือข้างที่ไม่ถนัดพิมพ์ข้อความในมือถือ เปิดลูกบิดประตู ถือแก้วกาแฟ หรือแปรงฟันก็ได้
* สิ่งสำคัญคือการพยายามใช้ทั้งสองมืออย่างสมดุล สมองซีกซ้ายที่ขยับมือขวาและสมองซีกขวาที่ขยับมือซ้ายจะมีความสัมพันธ์กัน
* การลุกขึ้นแต่งตัวสามารถสร้างความกระตือรือร้นให้อยากออกไปข้างนอก และสร้างความรู้สึกที่แปลกใหม่ให้กับเราได้ด้วย สามารถช่วยให้ผู้ที่อยู่ในช่วงอารมณ์ซึมเศร้ารู้สึกดีขึ้นได้ด้วย
* สมองกลีบหน้าจะอยู่ในสภาพพักการทำงานเมื่อได้ฟังมุขฝืด แต่ตอนที่ตนเองคิดและพูดมุขตลกออกไป สมองกลีบหน้ากลับทำงานไม่ว่ามุขของตนเองนั้นจะตลกหรือไม่
* การฟังดนตรีคลาสสิคมีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นสมองส่วนที่สำคัญต่อความจำ หากเป็นไปได้ควรหาโอกาสไปฟังคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิคสด ๆ จะกระตุ้นสมองได้ดีกว่าการฟังที่บ้าน
* การกำหนด เส้นตายให้กับตนเองในการทำงานต่าง ๆ เป็นความเครียดชนิดดี ช่วยให้สมองทำงานเร็วขึ้น และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำงานด้วย
* ระหว่างการดูโทรทัศน์หรือินเทอร์เน็ต สมองจะอยู่ในสภาพพักการทำงาน ดังนั้นไม่ควรทำกิจกรรมดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะทำให้สมองเฉื่อยชา
* เมื่อความคิดมาถึงทางตัน อย่าครุ่นคิดจนอดหลับอดนอน ควรนอนหลับสักตื่นหนึ่งเพื่อให้มีการจัดระเบียบความคิดระหว่างนอน นอกจากนั้นยังทำให้การจดจำของสมองดีกว่าด้วย
* ระหว่างการเคี้ยวอาหาร สมองใหญ่จะมีการรับรู้ความรู้สึกทำให้กระแสเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น และทำให้การทำงานของเซลล์ประสาทในสมองใหญ่ตื่นตัวอีกด้วย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนครั้งในการเคี้ยวอาหารเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น
หนังสือชื่อ 53 รูปแบบชีวิตพิชิตสมองเสื่อมโดย Yoneyama Kimihiro แปลโดย พีรวัธน์ เสาวคนธ์ Nation Books ธันวาคม 2554 128 หน้า ราคา 175 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปและที่เว็บไซต์ซีเอ็ด ตามลิ้งค์นี้ https://goo.gl/RWu4Fk
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน

คอลัมน์ ดร.ณัชร จัดหนังสือนี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น