วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 481 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” ค่ะ

เราสามารถ “หลอกสมอง” ของเราให้พัฒนาตนเองและประสบความสำเร็จได้
แต่หลอกเฉย ๆ ยังไม่พอ ต้องลงมือทำด้วย


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกสมองของญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปี เขาจัดการอบรมพัฒนาศักยภาพให้ผู้บริหารและนักธุรกิจของญี่ปุ่นมาแล้วมากมาย
คุณนิชิดะ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เรียกทุก ๆ อย่างที่สมองรับรู้ว่าเป็น “ภาพลวง” ซึ่งมีทั้งภาพลวงเชิงบวกและภาพลวงเชิงลบ
เขาเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีสติ “รู้เท่าทัน” ภาพลวงในสมองเราหรือเปล่า
นอกจากรู้เท่าทันแล้ว เรายังต้อง “หลอกสมอง” ให้นำไปสู่พฤติกรรมที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จด้วย
เนื้อหาในเล่มมีทั้งแนวจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ทางสมอง การพัฒนาตนเองในฐานะปัจเจกบุคคลและในฐานะผู้บริหารองค์กร และผู้รีวิวเองรู้สึกว่ามีกลิ่นไอของ NLP อยู่ด้วยค่ะ
เนื้อหาช่วงกลาง ๆ เล่มค่อนข้างหนัก ไม่ใช่หนังสือแนวอ่านเพลินสบาย ๆ เสียทีเดียวนัก แต่ก็มีข้อคิดดี ๆ ที่ซาบซึ้งน่าประทับใจในการดำรงชีวิตด้วยในช่วงท้าย ๆ เล่มตามแบบฉบับหนังสือญี่ปุ่น
เหมาะสำหรับผู้สนใจพัฒนาศักยภาพของสมอง และพัฒนาตนเองโดยรวมค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ผู้ที่เชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ และลงมือทำไปเรื่อย ๆ จะประสบผลสำเร็จในที่สุดทุกคน
* เราทุกคนเคยมีศักยภาพนั้นมาก่อนตอนเป็นเด็กที่หัดเดินครั้งแรก เราลุกแล้วล้มมาเป็น 100 ครั้งแต่ก็ยังลุกขึ้นยืนและพยายามเดินทุกครั้ง ในที่สุดเราก็บรรลุเป้าหมายและเดินได้ในที่สุด
คำถามคือ ความรู้สึกนั้นหายไปไหน? ทำไมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราจึงยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หลังจากพลาดไปเพียงไม่กี่ครั้ง?
* ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์สลับกันไป เมื่อรู้สึก “ทุกข์” สิ่งที่จะช่วยใช้สับสวิตช์สมองให้กลายเป็น “สุข” ได้ คือ คำพูด ภาพจินตนาการ และภาษากาย
* ตัวอย่างคำพูด คือ การกล่าวขอบคุณอุปสรรคที่ทำให้เราแกร่งขึ้น
ตัวอย่างภาพจินตนาการคือการฝึกนึกภาพความสำเร็จแบบนักกีฬา
ตัวอย่างภาษากายคือการสร้างภาษากายประจำตัวขึ้นมาอย่างหนึ่งเพื่อคอยเตือนตัวเองให้คิดบวก
* ภาพลวงตาที่ใช้ในการทดลองจิตวิทยา (ในเล่มมีให้ดูหลายภาพที่สามารถเห็นได้อย่างน้อย 2 อย่างที่ต่างกันไป) เป็นข้อพิสูจน์ว่า “สมองมักจะคิดผ่านมุมมองเดียว”
นั่นคือ ถ้าสมองตัดสินไปแล้วว่า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง สมองก็จะมีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็นมุมมองอื่น ๆ
ภาพลวงทางความคิดก็เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกับภาพลวงตานั่นเอง จึงมักทำให้เรามองไม่เห็นโอกาสดี ๆ มากมาย
* สมองจะรู้สึกสุขหรือทุกข์เพราะการทำงานของอะมิกดาลาในสมอง เมื่อสมองได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอกจะหลั่งสารสื่อประสาท “โดพามีน” ที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนออกมา ทำให้ตื่นตัวและกระฉับกระเฉง
และเมื่อสมองอยู่ในสภาวะสุขก็จะเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง
* จงหมั่นชมคนในครอบครัวให้สมองของเขาหรือเธอหลั่งสารโดพามีนออกมา จะได้ทำให้พวกเขามีความสุข คนที่จะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการทำให้คนในครอบครัวมีความสุขได้ก่อน
* สมองมนุษย์จะตอบสนองต่อทุก ๆ คำถามที่รับเข้ามาด้วยการส่งข้อมูลออกไปจนเกิดเป็นวงจรขึ้น และวงจรการรับเข้าและส่งออกนี้จะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการทำซ้ำ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามตัวเองหรือได้รับการถามจากคนอื่นว่า “ทำไมถึงทำไม่ได้นะ?” สมองก็จะส่งแค่ข้อมูลที่เป็นเหตุผลของ “การทำไม่ได้ออกมา และรับเอาข้อมูล “ทำไม่ได้” ซ้ำเข้าไปอีก
ในทางตรงกันข้าม หากถามตัวเองหรือได้รับการถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะทำได้นะ?” สมองก็จะสร้างข้อมูล “วิธีทำให้ได้” ส่งออกมาและรับข้อมูลซ้ำกลับเข้าไปว่า “ทำได้”
* การเป็นผู้บริหารที่ดีต้องใช้สมองทั้งสามส่วน ส่วน “ความรู้” คือสมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ เอาไว้สร้างโมเดลธุรกิจ ”คุณธรรม” เป็นเรื่องของสมองอารมณ์ที่ให้คุณค่าต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
และ “ความกล้าหาญและพลังใจ” มาจากฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมาจากก้านสมอง และก้านสมองยังมีการคาดการณ์หรือรับรู้อนาคตได้ด้วย
* ถ้าอยากจะ “เสริมโชค” จงอย่าสร้างศัตรูขึ้นในสมองเด็ดขาด เป็นภาพลวงที่ไม่ดี ถ้ามีเจ้านายที่เข้มงวดมาก คนที่เชื่อว่าตนเองเป็นคนโชคดีจะมองว่า “อ๋อ เราทำงานเก่งขึ้นได้ก็เพราะคน ๆ นี้ ขอบคุณนะครับ/คะ”
คำว่า “มุเทคิ” (ไร้ศัตรู) มักถูกแปลอย่างผิด ๆ ว่าหมายถึง แข็งแกร่งที่สุด” แต่ความจริงแล้วหมายถึงสภาวะของการ “ไม่มีศัตรู” ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับใจของคุณ คุณจะกลายคนไร้ศัตรูตอนนี้เลยก็ย่อมได้
(เรื่องนี้ มุเทคิ คือความเมตตาปรารถนาดีตรงกับแนวคิดวิชาดาบซามูไรโบราณที่ครูไปเรียนมาจากญี่ปุ่นค่ะ)
* คนที่เชื่อว่าตัวเองโชคดีหรือดวงดี มักจะคิดอะไรเป็นแง่บวก แล้วถ้าเราไม่รู้สึกอย่างนั้นจะเพิ่มพลังเชื่อโชคของเราได้อย่างไร?
คำตอบคือ ต้องตั้งใจเป็นคนประเภท “ลงมือทำทันที ไม่ย่อท้อ” และใหม่หมั่นนึกทันทีทุกครั้งที่ตื่นว่า “วันนี้เรายังมีชีวิต แถมได้ตื่นขึ้นมาในสภาพที่แข็งแรงอยู่ ช่างโชคดีจริง ๆ”
นอกจากนี้ ก่อนเข้านอนก็ให้คิดว่า “ผ่านมาได้อีกวันหนึ่ง โชคดีจริง ๆ”
ต่อให้เจอเรื่องแย่ ๆ ก็ให้เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่ดีก่อน เช่น ถึงจะมีปัญหาที่บริษัทเยอะ แต่ก็ผ่านมาได้ ถึงจะทะเลาะกับคู่ชีวิตบ้าง แต่สุขภาพก็ยังดีทั้งคู่
* สมองที่ไม่ยอมแพ้ คือสิ่งที่แบ่งระหว่างผู้ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา
* คนที่ทำฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ จะไม่ตั้งเป้าหมายขึ้นมาลอย ๆ แล้วลงมือทำไปทั้งอย่างนั้น แต่จะตั้งเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม วิเคราะห์เงื่อนไขพื้นฐานและจัดการกับสิ่งที่จัดการได้ไปก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติ
* หากมีความเชื่อมั่นในตนเองได้แล้ว สมองจะเข้าสู่สภาวะ “สุข” จึงรู้สึกสนุกไปกับความยากลำบากได้ ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นอีกด้วย
* จงรับผิดชอบตนเองให้ดี และสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่ ความคิดเช่นนี้จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ
* วิธีที่จะมีสมองที่คิดเชิงบวกอยู่เสมอ ๆ ได้แม้กระทั่งเวลาเผชิญความทุกข์คือการ “สร้างภาพลวงที่ดีขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ” วิ
ธีหนึ่งคือสร้างคำพูดเป็นคีย์เวิร์ดขึ้นมาปรับสมองอารมณ์ เช่น คำว่า “ขอบคุณ” เช่น “ขอบคุณนะที่สร้างอุปสรรคให้เราฟันฝ่า”
* ในทางตรงกันข้าม เวลามีเรื่องลำบากหรือทุกข์ใจ ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นทั้งร่างกายและจิตใจก็จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ
* ความรู้สึกด้อยกว่าทั้งหมดล้วนเป็นผลผลิตที่คนอื่นสร้างขึ้นที่กลายมาเป็นภาพลวงแย่ ๆ ในคัวคุณเอง วิธีแก้คือให้เขียนข้อดีของตนเองออกมา 5 ข้อ โดยต้องรู้สึกเชื่อมั่นอย่างนั้นจริง ๆ
จากนั้นเมื่อใครชมคุณเกี่ยวกับข้อดีทั้งห้าข้อ ก็ให้รู้สึกยินดีมีความสุข และตั้งใจพัฒนาข้อดีเหล่านั้นต่อไป
* สิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นและสังคมคือ ความรักและความรู้สึกขอบคุณ เมื่อผู้บริหารรู้สึกขอบคุณต่อสังคมโดยรวมทั้งหมดจริง ๆ ต่อให้ไม่คิดหากำไร ก็ยังทำกำไรได้เอง
* คนเรามักอยากหลีกเลี่ยงอันตราย จึงไม่ค่อยกล้าออกจากความรู้สึกปลอดภัยของการทำอะไรเดิม ๆ อยู่อย่างเดิม ๆ และในที่สุดก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย
เหมือนดังเช็คสเปียร์ได้กล่าวไว้ว่า “ความรู้สึกปลอดภัย นั่นคือศัตรูที่ใกล้ตัวที่สุดของมนุษย์”
* ราคาที่แท้จริงของธนบัตร 10,000 เยน คือ 22.2 เยนเท่านั้น (จากราคาที่โรงพิมพ์ธนบัตรขายให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นในปีค.ศ. 2000) ดังนั้น ที่เราคิดว่ามันมีค่า 10,000 เยนจึงเป็นเพียงภาพลวงที่เราไปให้ค่ามันเท่านั้น
ถ้าสามารถมองเห็นว่า “จริง ๆ แล้วเงินก็เป็นเพียงภาพลวง” มุมมองในชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้ว
* ทันทีที่สมองของมนุษย์คิดว่าถูกต้องแล้ว สมองก็จะหยุดความคิดลง ที่น่าสนใจก็คือ คำว่า “ถูกต้อง” ภาษาญี่ปุ่นเขียนว่า 正 ซึ่งถ้าขาดขีดด้านบนไปหนึ่งขีดจะกลายเป็น 止 ที่แปลว่า “หยุด”
* มนุษย์ไม่ได้แข็งแรงกว่าช้างหรือสิงโต จึงต้องตั้งคำถามกับสมองตนเองว่า “เรามีอะไรที่เขาไม่มี” จึงทำให้มนุษยชาติพัฒนามาได้จนถึงทุกวันนี้
* จงถ่อมตน คนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจำนวนมากตกม้าตายเพราะเป็นคนโอ้อวดไม่เห็นหัวคน เมื่อเราถ่อมตัว เราก็จะได้ยินเสียงของคนอื่น ๆ มากมาย
เพราะฉะนั้น จึงควรทิ้งความคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอไปเสีย แล้วลองฟังความเห็นของลูกน้อง สามี ภรรยา หรือแม้แต่หลานของคุณพูดดูบ้าง
* มนุษย์จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยพลังสามอย่าง คือ ๑) พลังเชื่อว่าตนเองโชคดี ๒) พลังรู้สุข คนที่มีพลังนี้จะมี “พลังสร้างสุข” ให้คนอื่นได้ด้วย และ ๓) พลังรู้คุณ หากมีข้อนี้ ก็จะรู้สึกขอบคุณออกมาจากใจจริง
คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น ร้อยทั้งร้อยจะมีพลังรู้คุณกันทุกคน
* มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณซาคิจิ โทโยตะ ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทโตโยต้า ได้จัดงานเลี้ยงขอบคะณขึ้น พิธีการสุดท้ายคือ คุณซาคิจิจะขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวที แต่เขากลับเอาแต่ก้มหน้าและไม่พูดอะไร
คนในงานต่างสงสัย แต่เมื่อมองไปที่เวทีก็พบว่า คุณซาคิจิกำลังร้องไห้อยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมพูด แต่เขาพูดไม่ออก
ซาคิจิยืนเงียบถึง 5 นาที จนพนักงานต้องพากลับไปนั่งที่เก้าอี้
แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่คนในงานต่างก็คิดเหมือนกันว่า “โชคดีที่ได้ทำงานกับซาคิจิ” นี่คือพลังรู้คุณของผู้ก่อตั้งโตโยต้า ที่สื่อไปถึงทุกคนได้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
* จงไปหาและตอบแทนคน 10 คนที่เคยช่วยเหลือคุณ
* จงใส่ใจในบรรพบุรุษของตน ลองไปค้นคว้าประวัติของตระกูลตนเองดู น่าจะมีบรรพบุรุษสักคนที่เราภาคภูมิใจ
และการได้รู้ว่า “ในตัวเราก็มีเลือดของบรรพบุรุษคนนั้นไหลเวียนอยู่” ก็จะนำไปสู่พลังบวก ที่สามารถเปลี่ยนความเป็นไปไม่ได้ให้เป็นความเป็นไปได้เลยทีเดียว
* ผู้เขียน คือ คุณนิชิดะ เคยเกิดอาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง ซึ่งผู้อื่นที่เป็นอาการเดียวกันนั้นเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว
แต่ด้วยการที่ผู้เขียนหมั่นบอกตนเองว่า “โชคยังดี” และตั้งใจทำกายภาพอย่างขยันขันแข็ง ในที่สุดก็กลับมาเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าอีกต่อไป
ผู้เขียนกล่าวว่า การสร้างภาพลวงที่ดีที่ทรงพลังสามารถสร้างให้เกิดปาฏิหาริย์ได้เช่นนี้
และหลังจากฟื้นตัวจากอาการนั้น ผู้เขียนก็รู้สึกว่า “สรรพสิ่งกำลังสนับสนุนให้ผมมีชีวิตอยู่” และรู้สึกจริง ๆ ว่าโชคดีที่ได้ประสบกับโรคร้ายวันนั้น
และยังรู้สึกว่า ภาระหน้าที่ที่ต้องทำ(จากการรอดชีวิตมาได้)นั้นก็คือ “ทำให้คนตื่นจากภาพลวงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)
* ชีวิตจะมีความสุขกว่ามาก ถ้าเราสร้างภาพลวงว่า “เราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดังนั้นก็ใช้ชีวิตในทุก ๆ ขณะให้เต็มที่ มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขดีกว่า”
* ความสำเร็จที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร? คำตอบคือ “มีชีวิตอยู่ให้คนอื่นมีความสุข ตายไปให้คนคิดถึง”
ตอนมีชีวิตอยู่สำคัญก็จริง แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เราเหลืออะไรไว้เบื้องหลังบ้างในยามที่สิ้นชีวิตลง
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า “ความสำเร็จจะมาสู่ผู้ที่สามารถหลอกสมองของตน ความล้มเหลวจะมาเยือนผู้ที่ถูกสมองของตนหลอก”
* เมื่อได้อ่านจบทั้งเล่มแล้ว ครูรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อแท้ที่จริงก็คือ “ความสำเร็จจะมาสู่ผู้ที่สามารถมองโลกในแง่บวก ความล้มเหลวจะมาเยือนผู้ที่ไม่มีสติรู้เท่าทันภาพลวงต่าง ๆ ของชีวิต” ค่ะ
หนังสือชื่อ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” โดย ฟุมิโอะ นิชิดะ แปลโดย สกล โสภิตอาชาศักดิ์ Move Publishing 274 หน้า ราคา 325 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น