ตะลึงทั้งโลก!
เมื่อชายคนนี้ทำสิ่งที่ทุกคนคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สำเร็จราวกับปาฏิหาริย์
ในเล่มรวมบทบรรยายครั้งประวัติศาสตร์ที่แม้แต่ประธานาธิบดีจีน
หูจิ่นเทา ก็ยังอ่าน!
=ผู้เขียนที่เป็น “เทพ”=
สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านที่สุดก็คือ “ผู้เขียน” ซึ่งได้แก่ท่านประธานอินาโมริ
คาซึโอะ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Kyoceraบริษัทระดับโลกที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้เข้าไปฟื้นฟูกิจการของ
JAL ที่ล้มละลายมีหนี้สินถึง
2.3 ล้านล้านเยน
ท่านมีผลงานโดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่นก็จริง
แต่ตอนที่รัฐบาลมาขอให้ช่วยนั้นท่านก็อายุ 78 ปีแล้ว
ซ้ำยังไม่เคยมีประสบการณ์บริหารธุรกิจสายการบินมาก่อน
ถึงจะมีแต่คนคัดค้าน ท่านก็ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วตอบรับด้วยเหตุผลสั้น
ๆ ว่า “อยากช่วยชาติ
ช่วยบำรุงขวัญกำลังใจของคนญี่ปุ่น และช่วยป้องกันการผูกขาดตลาดของอีกสายการบิน
(ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภค)”
โดยมีเงื่อนไขว่าท่านจะ #ไม่รับค่าตอบแทนแม้แต่เยนเดียว!
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ท่านผู้เขียนก็ยังออกตัวว่า
“หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของมือสมัครเล่น…”
ด้วยความสามารถที่ยิ่งใหญ่และจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้
ชาวญี่ปุ่นจึงพร้อมใจกันขนานนามท่านว่า “เทพแห่งการบริหารที่ยังมีชีวิตอยู่”
=ภาพรวม=
ในเล่มเริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ผลกระทบของสงครามต่อจิตวิญญาณการฮึดสู้ของธุรกิจญี่ปุ่น
แนวทางที่ใช้ก่อตั้งและบริหาร Kyocera
จนประสบผลสำเร็จ
และได้อารมณ์ finalé ช่วงท้ายเล่มด้วยกรณีศึกษา JAL โดยการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังอย่างหมดเปลือก!
ท่านผู้เขียนรอบรู้ทั้งประวัติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีร่วมสมัย การบริหารธุรกิจ จิตวิทยา ภาวะผู้นำ
ไปจนถึงเรื่องจิตวิญญาณ การรับใช้เพื่อนมนุษย์และรับใช้โลก
เห็นได้ชัดว่าท่านอ่านหนังสือมามากและลงมือปฏิบัติเองจนได้ผลแล้วจริง ๆ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ตั้งแต่เปิดกิจการมาจนถึงปัจจุบัน (54 ปี) Kyocera ยังไม่เคยขาดทุนสักครั้ง
อัตรากำไรสูงสุดที่เคยได้คือ 40% และแม้ยอดขายจะสูงเกิน 1
ล้านล้านเยนก็ยังรักษาอัตรากำไรสูงเกินสองหลักไว้ได้
* ถึงแม้จะเป็นออเดอร์ที่ยากหรือเกินตัวแค่ไหน Kyocera ก็จะรับมาแล้วบอกลูกค้าว่า
“จะทำให้ได้” แล้วก็ทำได้จริง
ๆ คนที่ทุ่มเทคือคนที่จะอยู่รอด คนที่ปราศจากใจนักสู้สุดท้ายก็ต้องจบ
(ในเล่มยกตัวอย่างที่บริษัทอเมริกัน General Electric หรือ GE พ่ายแพ้ต้องถอนตัวออกจากตลาดของ Kyocera ไป)
* “จงพูดให้ตัวเองฟังอยู่เป็นนิจว่า
ต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น เพื่อให้แผนการและเป้าหมายสำเร็จบรรลุผล
ต้องวาดภาพอุดมคติสูงส่งและวิสัยทัศน์เปี่ยมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจอย่างแรงกล้า” – นาคามูระ
เท็มปู (ปรมาจารย์ศิลปะป้องกันตัวโบราณ, นักคิด)
คำกล่าวนี้รวมทุกสิ่งที่ผมใช้ในการฟื้นฟู JAL
* ผู้บริหารระดับสูงต้องทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างเสียก่อน
ประกาศให้รู้ไปเลยว่า “ผมจะทำยอดขายเท่าไหร่
จะทำกำไรให้ได้เท่าไหร่” และรักษาสัญญานั้นให้ได้
หากทำสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จก็ต้องยืดอกพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ความทุ่มเทของผมยังไม่พอ
ปีหน้าจะพยายามใหม่อีกครั้ง”
ห้ามโทษปัจจัยภายนอกหรือว่าเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเด็ดขาด
* สมัยทำงานที่ Kyocera ผมทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำกับพนักงาน
หลายคืนนอนค้างโรงงานและออกเดินตรวจงานยามดึกและให้กำลังใจ
ให้แนวทางแก่พนักงานหนุ่ม ๆ
*
ใจนักสู้นั้นไม่ได้หมายถึงความรุนแรงและพฤติกรรมหยาบคาย แต่เป็นใจนักสู้เหมือนคนเป็นแม่
เช่น แม่นกเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อไม่ให้เหยี่ยวทำอันตรายลูกนก
คนที่เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบที่จะ “ปกป้องพนักงานและบริษัทด้วยชีวิต!”
* “จิตวิญญาณของนักสู้” อย่างเดียวยังไม่พอ
ต้องมีแรงจูงใจระดับสูงที่เรียกว่า “เพื่อโลก เพื่อมนุษยชาติ” ด้วย
กิจการจึงจะสำเร็จอย่างยั่งยืน ผมฟื้นฟู JAL ได้ก็เพราะใช้หลักการนี้
*
ปัญหาสำคัญของระบบทุนนิยมปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาของกฎหมายหรือระบบ
แต่เป็นปัญหาด้านจิตใจ
ตราบใดที่ความโลภของผู้บริหารยังคงอยู่ก็จะยังแก้ปัญหาขององค์กรและของสังคมไม่ได้
* วิธีคิดที่จำเป็นในการแก้ไขหนทางของระบบทุนนิยมให้ถูกต้องคือการ
“รู้จักพอเพียง” (ในที่นี้ท่านผู้เขียนยกว่าเป็นความคิดของเล่าจื๊อ
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “สันโดษ” ของพระพุทธศาสนา
– ผู้วิจารณ์)
* ผู้บริหารต้องตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ
อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนไว้เป็น “ไม้บรรทัด” มาตรฐานสำหรับผมคือการถามตัวเองว่า
“อะไรคือสิ่งถูกต้องในฐานะมนุษย์” แล้วนำคำตอบไปทุ่มเทปฏิบัติจนสำเร็จ
(ในเล่มยกตัวอย่างการนำไปปฏิบัติจริงและได้ผล 2 กรณี)
* หนังสือผมชื่อ ikikata (วิถีการดำเนินชีวิต, ฉบับไทยใช้ชื่อ
“ช้าให้ชนะ”) พูดถึงเรื่อง
“มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” เขียนจากปรัชญาจีน
พุทธปรัชญา และปรัชญาญี่ปุ่นโบราณ ขายในจีนได้มากกว่า 1 ล้าน 3 แสนเล่ม
(ไม่นับฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งมีมากกว่านี้อีกหลายเท่า)
* คณบดี MBA ม.ปักกิ่งกล่าวว่า “ที่ผ่านมาพวกเราใช้ตำราของอเมริกา
โดยเน้นของ Harvard
Business School แต่กลับเกิดปัญหาเรื่องนับถือเงินเป็นพระเจ้าซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมายและสังคมเศรษฐกิจจีนก็ไม่ดีขึ้นเลย
เราจึงอยากใช้ปรัชญาของคุณมาใช้เป็นตำราเรียนแทนจากนี้เป็นต้นไป”
* เมื่อเข้ามาบริหาร JAL ผมก็พบปัญหา
แผนกต่าง ๆ ไม่ร่วมมือกัน ปัดการรับผิดชอบ
ไม่สามารถสรุปผลประกอบการในปัจจุบันได้ชัดเจน ผมเลยคิดว่า สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือ
การปฏิรูปจิตสำนึกของผู้บริหารและพนักงานอย่างจริงจัง
โดยตอกย้ำให้ทุกคนยอมรับความจริงว่า “บริษัทล้มละลายแล้ว” จากนั้นผมก็เรียกผู้บริหารมาอบรมการเป็นผู้นำอยู่
1 เดือน
* จากนั้น ผมลงพื้นที่หน้างานด้วยตนเอง
เพื่อพูดคุยกับพนักงานโดยตรง (หนังสือเล่มอื่นระบุว่า
ท่านประธานอินาโมริถึงกับไปก้มศีรษะ(โค้ง)ขอร้องพนักงานระดับล่างให้ร่วมมือร่วมใจ)
ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ตรงเคาน์เตอร์ที่สนามบิน
แอร์โฮสเตสที่ดูแลลูกค้าบนเครื่อง กัปตันและผู้ช่วยนักบิน พนักงานพื้นดิน
ผู้ขนกระเป๋า ตลอดจนช่างต่าง ๆ
* หากไม่ทำให้พนักงานคิดจากใจจริงได้ว่า “โชคดีที่ได้ทำงานที่
JAL” แล้ว
คงให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าไม่ได้
และจะตอบแทนผู้ถือหุ้นและอุทิศตนเพื่อสังคมก็ไม่ได้
* จากนั้นพนักงานเริ่มตระหนักว่า “JAL คือบริษัทของพวกเรา
เราต้องปกป้องบริษัทให้เต็มที่และทำให้คนนับถือ” พวกเขาเริ่มมองการฟื้นฟูเป็นเรื่องของตนเองแล้ว
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นสภาพผมทุ่มเทเพื่อฟื้นฟูอย่างจริงจังทั้ง ๆ
ที่อายุมากแล้วก็ได้
* เดือนมีนาคม 2554 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น
พนักงาน JAL ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อลูกค้า
ผมได้รับจดหมายหลายฉบับ (ในเล่มยกตัวอย่างมา 4 ฉบับที่ซาบซึ้งกินใจ)
* (ตัวอย่างจม.ขอบคุณ) “เครื่องบินเราลงจอดเวลาเดียวกับแผ่นดินไหว
ตื้นตันใจมากเมื่อได้เห็นการอุทิศตนในการบริการของพนักงาน JAL...ลงมาถึงต้องค้างสนามบินก็มีบริการอาหารกลางดึกและเช้าตรู่ให้
รู้สึกได้เลยว่าต้องเตรียมการกันอย่างรวดเร็วมากและดูเหมือนจะไม่เกี่ยงว่าใช้บริการกับสายการบินไหนมาด้วย(ที่จะมารับอาหารฟรีได้)
ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือสายการบินที่เป็นตัวแทนญี่ปุ่น”
* ผลประกอบการของ JAL ตลอด
3 ปีที่ผมเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูมีกำไรอย่างต่อเนื่อง
ปีแรกจบด้วยผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ภายใต้สถานการณ์นี้ JAL มีกำไรสูงถึง
17% ซึ่งถึงว่าสูงสุดในสายการบินใหญ่ของโลก
* ในปีที่ 3 JAL ก็เข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้
ทำให้เราคืนเงินทุนฟื้นฟูที่ได้จากรัฐบาลทั้งหมดได้สำเร็จ
จากบริษัทที่ล้มละลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
กลายเป็นบริษัทที่สร้างกำไรสูงสุดในโลกในระยะเวลาเพียง 3 ปี
* ผมเปลี่ยนอะไรอย่างนั้นหรือ? มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือ
ใจคน เพียงแค่เปลี่ยนความคิดก็ทำให้ฟื้นฟูกิจการได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว
* ผมคิดว่าได้พิสูจน์ให้เห็นผ่านการฟื้นฟูของ JAL แล้วว่าทำไมจิตใจมนุษย์จึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงได้
เราควรจะเปลี่ยนประเทศนี้และโลกใบนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของทุกคนเหมือนที่เกิดขึ้นกับ
JAL
=สรุป=
คำว่า “จิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชน” ที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเล่มนั้นไม่ใช่การบ่นแบบคนแก่หลงลืมที่พูดซ้ำ
ๆ ทั้งนี้เพราะข้อเขียนอื่น ๆ ของท่านผู้เขียนยังคมกริบมาก
แท้ที่จริงเป็นการจงใจตอกย้ำให้เข้าไปในจิตใต้สำนึกของผู้อ่านด้วยความเมตตาปรารถนาดีนั่นเอง
เหมือนดังที่ท่านพร่ำสอนลูกน้องด้วยคำเดียวกันนี้มาตลอด
ถ้าคุณผู้อ่านอยากสัมผัสจิตวิญญาณบูชิโดของแท้ของนักรบยามสงบว่าเป็นอย่างไร
คุณต้องไม่พลาดเล่มนี้
เพราะสิ่งที่ท่านผู้เขียนเขียนนั้นได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องบูชิโดจากยุคโตกุกาว่าเมื่อญี่ปุ่นปราศจากสงครามอย่างชัดเจน
แนวคิดนี้ได้ถูกส่งผ่านจากชนชั้นซามูไรไปสู่ชนชั้นที่เหลือทั้งหมด
จนสร้างญี่ปุ่นให้เป็นญี่ปุ่นได้ถึงทุกวันนี้
ผู้วิจารณ์อ่านจบแล้วอยากขนานนามท่านประธานอินาโมริเสียใหม่ว่า
“The Last Samurai” ตัวจริง!
เพราะคำว่า ซามูไร (侍) นั้น
แท้ที่จริงมีรากศัพท์มาจากคำว่า 侍う(saburau)
ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่คอยรับใช้อยู่เคียงข้าง” เหมือนที่ท่านลุกออกมาช่วยกู้วิกฤติของชาติด้วยจิตวิญญาณนักสู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั่นเอง!
ถ้าผู้อ่านตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านประธานอินาโมริต้องการสื่อ
นำไปขบคิด และนำไปปฏิบัติได้จริง ๆ คุณเองก็จะเป็น “ซามูไร” ได้
และความสุขใจเติมเต็มในการที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองต่อโลกและต่อมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นในใจคุณอย่างแน่นอน
ส่วนความสำเร็จนั้น...เป็นเพียงผลพลอยได้!
Banzai!
Banzai! Banzai!
หนังสือชื่อ “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้” โดย
อินาโมริ คาซึโอะ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ มีนาคม 2559 208 หน้า ราคา 200 บาท
มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
หรือที่เวบไซต์สำนักพิมพ์ www.booktime.co.th
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60
เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*
แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้
จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ
โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน
เพจ “ดร.ณัชร” เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น