วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 413 จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้”

ตะลึงทั้งโลก! เมื่อชายคนนี้ทำสิ่งที่ทุกคนคิดว่า เป็นไปไม่ได้สำเร็จราวกับปาฏิหาริย์
ในเล่มรวมบทบรรยายครั้งประวัติศาสตร์ที่แม้แต่ประธานาธิบดีจีน หูจิ่นเทา ก็ยังอ่าน!


=ผู้เขียนที่เป็น เทพ”=
สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านที่สุดก็คือ ผู้เขียนซึ่งได้แก่ท่านประธานอินาโมริ คาซึโอะ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Kyoceraบริษัทระดับโลกที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้เข้าไปฟื้นฟูกิจการของ JAL ที่ล้มละลายมีหนี้สินถึง 2.3 ล้านล้านเยน
ท่านมีผลงานโดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่นก็จริง แต่ตอนที่รัฐบาลมาขอให้ช่วยนั้นท่านก็อายุ 78 ปีแล้ว ซ้ำยังไม่เคยมีประสบการณ์บริหารธุรกิจสายการบินมาก่อน
ถึงจะมีแต่คนคัดค้าน ท่านก็ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วตอบรับด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่า อยากช่วยชาติ ช่วยบำรุงขวัญกำลังใจของคนญี่ปุ่น และช่วยป้องกันการผูกขาดตลาดของอีกสายการบิน (ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภค)
โดยมีเงื่อนไขว่าท่านจะ #ไม่รับค่าตอบแทนแม้แต่เยนเดียว!
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ท่านผู้เขียนก็ยังออกตัวว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของมือสมัครเล่น…”
ด้วยความสามารถที่ยิ่งใหญ่และจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงพร้อมใจกันขนานนามท่านว่า เทพแห่งการบริหารที่ยังมีชีวิตอยู่
=ภาพรวม=
ในเล่มเริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ผลกระทบของสงครามต่อจิตวิญญาณการฮึดสู้ของธุรกิจญี่ปุ่น แนวทางที่ใช้ก่อตั้งและบริหาร Kyocera จนประสบผลสำเร็จ
และได้อารมณ์ finalé ช่วงท้ายเล่มด้วยกรณีศึกษา JAL โดยการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังอย่างหมดเปลือก!
ท่านผู้เขียนรอบรู้ทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีร่วมสมัย การบริหารธุรกิจ จิตวิทยา ภาวะผู้นำ ไปจนถึงเรื่องจิตวิญญาณ การรับใช้เพื่อนมนุษย์และรับใช้โลก เห็นได้ชัดว่าท่านอ่านหนังสือมามากและลงมือปฏิบัติเองจนได้ผลแล้วจริง ๆ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ตั้งแต่เปิดกิจการมาจนถึงปัจจุบัน (54 ปี) Kyocera ยังไม่เคยขาดทุนสักครั้ง อัตรากำไรสูงสุดที่เคยได้คือ 40% และแม้ยอดขายจะสูงเกิน 1 ล้านล้านเยนก็ยังรักษาอัตรากำไรสูงเกินสองหลักไว้ได้
* ถึงแม้จะเป็นออเดอร์ที่ยากหรือเกินตัวแค่ไหน Kyocera ก็จะรับมาแล้วบอกลูกค้าว่า จะทำให้ได้แล้วก็ทำได้จริง ๆ คนที่ทุ่มเทคือคนที่จะอยู่รอด คนที่ปราศจากใจนักสู้สุดท้ายก็ต้องจบ (ในเล่มยกตัวอย่างที่บริษัทอเมริกัน General Electric หรือ GE พ่ายแพ้ต้องถอนตัวออกจากตลาดของ Kyocera ไป)
* จงพูดให้ตัวเองฟังอยู่เป็นนิจว่า ต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น เพื่อให้แผนการและเป้าหมายสำเร็จบรรลุผล ต้องวาดภาพอุดมคติสูงส่งและวิสัยทัศน์เปี่ยมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจอย่างแรงกล้า” – นาคามูระ เท็มปู (ปรมาจารย์ศิลปะป้องกันตัวโบราณ, นักคิด) คำกล่าวนี้รวมทุกสิ่งที่ผมใช้ในการฟื้นฟู JAL
* ผู้บริหารระดับสูงต้องทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างเสียก่อน ประกาศให้รู้ไปเลยว่า ผมจะทำยอดขายเท่าไหร่ จะทำกำไรให้ได้เท่าไหร่และรักษาสัญญานั้นให้ได้ หากทำสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จก็ต้องยืดอกพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่า ความทุ่มเทของผมยังไม่พอ ปีหน้าจะพยายามใหม่อีกครั้งห้ามโทษปัจจัยภายนอกหรือว่าเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเด็ดขาด
* สมัยทำงานที่ Kyocera ผมทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำกับพนักงาน หลายคืนนอนค้างโรงงานและออกเดินตรวจงานยามดึกและให้กำลังใจ ให้แนวทางแก่พนักงานหนุ่ม ๆ
* ใจนักสู้นั้นไม่ได้หมายถึงความรุนแรงและพฤติกรรมหยาบคาย แต่เป็นใจนักสู้เหมือนคนเป็นแม่ เช่น แม่นกเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อไม่ให้เหยี่ยวทำอันตรายลูกนก คนที่เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบที่จะ ปกป้องพนักงานและบริษัทด้วยชีวิต!
* จิตวิญญาณของนักสู้อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีแรงจูงใจระดับสูงที่เรียกว่า เพื่อโลก เพื่อมนุษยชาติด้วย กิจการจึงจะสำเร็จอย่างยั่งยืน ผมฟื้นฟู JAL ได้ก็เพราะใช้หลักการนี้
* ปัญหาสำคัญของระบบทุนนิยมปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาของกฎหมายหรือระบบ แต่เป็นปัญหาด้านจิตใจ ตราบใดที่ความโลภของผู้บริหารยังคงอยู่ก็จะยังแก้ปัญหาขององค์กรและของสังคมไม่ได้
* วิธีคิดที่จำเป็นในการแก้ไขหนทางของระบบทุนนิยมให้ถูกต้องคือการ รู้จักพอเพียง” (ในที่นี้ท่านผู้เขียนยกว่าเป็นความคิดของเล่าจื๊อ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง สันโดษของพระพุทธศาสนา ผู้วิจารณ์)
* ผู้บริหารต้องตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนไว้เป็น ไม้บรรทัดมาตรฐานสำหรับผมคือการถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งถูกต้องในฐานะมนุษย์แล้วนำคำตอบไปทุ่มเทปฏิบัติจนสำเร็จ (ในเล่มยกตัวอย่างการนำไปปฏิบัติจริงและได้ผล 2 กรณี)
* หนังสือผมชื่อ ikikata (วิถีการดำเนินชีวิต, ฉบับไทยใช้ชื่อ ช้าให้ชนะ”) พูดถึงเรื่อง มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรเขียนจากปรัชญาจีน พุทธปรัชญา และปรัชญาญี่ปุ่นโบราณ ขายในจีนได้มากกว่า 1 ล้าน 3 แสนเล่ม (ไม่นับฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งมีมากกว่านี้อีกหลายเท่า)
* คณบดี MBA ม.ปักกิ่งกล่าวว่า ที่ผ่านมาพวกเราใช้ตำราของอเมริกา โดยเน้นของ Harvard Business School แต่กลับเกิดปัญหาเรื่องนับถือเงินเป็นพระเจ้าซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมายและสังคมเศรษฐกิจจีนก็ไม่ดีขึ้นเลย เราจึงอยากใช้ปรัชญาของคุณมาใช้เป็นตำราเรียนแทนจากนี้เป็นต้นไป
* เมื่อเข้ามาบริหาร JAL ผมก็พบปัญหา แผนกต่าง ๆ ไม่ร่วมมือกัน ปัดการรับผิดชอบ ไม่สามารถสรุปผลประกอบการในปัจจุบันได้ชัดเจน ผมเลยคิดว่า สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือ การปฏิรูปจิตสำนึกของผู้บริหารและพนักงานอย่างจริงจัง โดยตอกย้ำให้ทุกคนยอมรับความจริงว่า บริษัทล้มละลายแล้วจากนั้นผมก็เรียกผู้บริหารมาอบรมการเป็นผู้นำอยู่ 1 เดือน
* จากนั้น ผมลงพื้นที่หน้างานด้วยตนเอง เพื่อพูดคุยกับพนักงานโดยตรง (หนังสือเล่มอื่นระบุว่า ท่านประธานอินาโมริถึงกับไปก้มศีรษะ(โค้ง)ขอร้องพนักงานระดับล่างให้ร่วมมือร่วมใจ) ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ตรงเคาน์เตอร์ที่สนามบิน แอร์โฮสเตสที่ดูแลลูกค้าบนเครื่อง กัปตันและผู้ช่วยนักบิน พนักงานพื้นดิน ผู้ขนกระเป๋า ตลอดจนช่างต่าง ๆ
* หากไม่ทำให้พนักงานคิดจากใจจริงได้ว่า โชคดีที่ได้ทำงานที่ JAL” แล้ว คงให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าไม่ได้ และจะตอบแทนผู้ถือหุ้นและอุทิศตนเพื่อสังคมก็ไม่ได้
* จากนั้นพนักงานเริ่มตระหนักว่า “JAL คือบริษัทของพวกเรา เราต้องปกป้องบริษัทให้เต็มที่และทำให้คนนับถือพวกเขาเริ่มมองการฟื้นฟูเป็นเรื่องของตนเองแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นสภาพผมทุ่มเทเพื่อฟื้นฟูอย่างจริงจังทั้ง ๆ ที่อายุมากแล้วก็ได้
* เดือนมีนาคม 2554 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น พนักงาน JAL ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อลูกค้า ผมได้รับจดหมายหลายฉบับ (ในเล่มยกตัวอย่างมา 4 ฉบับที่ซาบซึ้งกินใจ)
* (ตัวอย่างจม.ขอบคุณ) เครื่องบินเราลงจอดเวลาเดียวกับแผ่นดินไหว ตื้นตันใจมากเมื่อได้เห็นการอุทิศตนในการบริการของพนักงาน JAL...ลงมาถึงต้องค้างสนามบินก็มีบริการอาหารกลางดึกและเช้าตรู่ให้ รู้สึกได้เลยว่าต้องเตรียมการกันอย่างรวดเร็วมากและดูเหมือนจะไม่เกี่ยงว่าใช้บริการกับสายการบินไหนมาด้วย(ที่จะมารับอาหารฟรีได้) ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือสายการบินที่เป็นตัวแทนญี่ปุ่น
* ผลประกอบการของ JAL ตลอด 3 ปีที่ผมเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูมีกำไรอย่างต่อเนื่อง ปีแรกจบด้วยผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ภายใต้สถานการณ์นี้ JAL มีกำไรสูงถึง 17% ซึ่งถึงว่าสูงสุดในสายการบินใหญ่ของโลก
* ในปีที่ 3 JAL ก็เข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ ทำให้เราคืนเงินทุนฟื้นฟูที่ได้จากรัฐบาลทั้งหมดได้สำเร็จ จากบริษัทที่ล้มละลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น กลายเป็นบริษัทที่สร้างกำไรสูงสุดในโลกในระยะเวลาเพียง 3 ปี
* ผมเปลี่ยนอะไรอย่างนั้นหรือ? มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือ ใจคน เพียงแค่เปลี่ยนความคิดก็ทำให้ฟื้นฟูกิจการได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว
* ผมคิดว่าได้พิสูจน์ให้เห็นผ่านการฟื้นฟูของ JAL แล้วว่าทำไมจิตใจมนุษย์จึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงได้ เราควรจะเปลี่ยนประเทศนี้และโลกใบนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของทุกคนเหมือนที่เกิดขึ้นกับ JAL
=สรุป=
คำว่า จิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชนที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเล่มนั้นไม่ใช่การบ่นแบบคนแก่หลงลืมที่พูดซ้ำ ๆ ทั้งนี้เพราะข้อเขียนอื่น ๆ ของท่านผู้เขียนยังคมกริบมาก
แท้ที่จริงเป็นการจงใจตอกย้ำให้เข้าไปในจิตใต้สำนึกของผู้อ่านด้วยความเมตตาปรารถนาดีนั่นเอง เหมือนดังที่ท่านพร่ำสอนลูกน้องด้วยคำเดียวกันนี้มาตลอด
ถ้าคุณผู้อ่านอยากสัมผัสจิตวิญญาณบูชิโดของแท้ของนักรบยามสงบว่าเป็นอย่างไร คุณต้องไม่พลาดเล่มนี้ เพราะสิ่งที่ท่านผู้เขียนเขียนนั้นได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องบูชิโดจากยุคโตกุกาว่าเมื่อญี่ปุ่นปราศจากสงครามอย่างชัดเจน แนวคิดนี้ได้ถูกส่งผ่านจากชนชั้นซามูไรไปสู่ชนชั้นที่เหลือทั้งหมด จนสร้างญี่ปุ่นให้เป็นญี่ปุ่นได้ถึงทุกวันนี้
ผู้วิจารณ์อ่านจบแล้วอยากขนานนามท่านประธานอินาโมริเสียใหม่ว่า “The Last Samurai” ตัวจริง!
เพราะคำว่า ซามูไร (侍) นั้น แท้ที่จริงมีรากศัพท์มาจากคำว่า 侍う(saburau) ซึ่งแปลว่า ผู้ที่คอยรับใช้อยู่เคียงข้างเหมือนที่ท่านลุกออกมาช่วยกู้วิกฤติของชาติด้วยจิตวิญญาณนักสู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั่นเอง!
ถ้าผู้อ่านตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านประธานอินาโมริต้องการสื่อ นำไปขบคิด และนำไปปฏิบัติได้จริง ๆ คุณเองก็จะเป็น ซามูไรได้ และความสุขใจเติมเต็มในการที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองต่อโลกและต่อมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นในใจคุณอย่างแน่นอน ส่วนความสำเร็จนั้น...เป็นเพียงผลพลอยได้!
Banzai! Banzai! Banzai!
หนังสือชื่อ ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้โดย อินาโมริ คาซึโอะ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ มีนาคม 2559 208 หน้า ราคา 200 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป หรือที่เวบไซต์สำนักพิมพ์ www.booktime.co.th
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ ดร.ณัชร จัดหนังสือนี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติ โดยผู้วิจารณ์เลือกอ่านเองโดยอิสระไม่ได้รับจ้างสำนักพิมพ์ใดมาเขียน

เพจ ดร.ณัชรเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น