คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 168 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “สู่จิตว่าง” ค่ะ
=ภาพรวม=
หนังสือเล่มบางเฉียบแต่อัดแน่นไปด้วยสาระดีๆนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์หนังสือชุด “พุทธทาส ๑๐๐ ปี หนังสือดี ๑๐๐ เล่ม” ซึ่งเป็นการคัดธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ 1 เรื่องมาจัดพิมพ์ขึ้น 1 เล่ม แต่เล่มนี้เป็นธรรมบรรยายที่ท่านพุทธทาสแสดงไว้ถึง 2 เรื่อง เมื่อวันที่ 3-4 กรกฎาคม 2505 ค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* มีคนมาถามพระพุทธเจ้าว่า ในบรรดาคำสั่งสอนของพระองค์ทั้งหมดนั้น ถ้าจะสรุปให้สั้นเหลือเพียงประโยคเดียวได้หรือไม่? พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าได้ คือ “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”
* ความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็คือเรื่อง นิพพาน นั่นเอง
* แต่กระนั้นพระพุทธศาสนาก็เปิดกว้าง คือมีคำสอนหลายระดับ ใครใคร่จะได้ลาภ ก็จงได้ลาภ ใครใคร่จะได้บุญ ก็จงได้บุญ ใครใคร่จะนิพพาน ก็จงนิพพาน แต่หลักสำคัญอยู่ตรงที่ต้องรู้จักทำไม่ให้เป็นทุกข์ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น
* พระพุทธองค์ทรงเคยเปรียบว่า สิ่งที่ตรัสรู้มีเท่ากับใบไม้ในป่า แต่สิ่งที่ทรงสอนมีเพียงใบไม้กำมือเดียว สรุปเหลือเพียงคำเดียวก็คือ ความดับทุกข์ ซึ่งจะต้องใช้วิธีไม่ยึดมั่นถือมั่นจึงจะทำความดับทุกข์ได้
* เมื่อยึดมั่นถือมั่นเข้าทีไรก็เป็นทุกข์ทันที จิตสูญเสียความทรงตัวของมันเอง เป็นจิตวุ่น ไม่เป็นอิสระ
* จิตว่าง คือ ประกอบอยู่ด้วยความจริง ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา
* ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันเท่ากับว่าง จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรนั้นเป็นจิตว่าง เหมือนกับว่า มือของเราไม่ได้จับอะไรไว้ เราเรียกว่ามือเปล่า หรือ มือว่าง
* จิตว่างนี้ไม่ใช่จิตที่นิ่งเงียบตัวแข็งเป็นหิน จิตที่ว่างตามความหมายอันถูกต้องแล้วเป็นจิตที่ว่องไวอย่างยิ่ง เฉลียวฉลาดแหลมคมอย่างยิ่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นเกาะเกี่ยวอะไรเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทุกข์อย่างยิ่ง
* เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่เห็นแก่ตน เมื่อไม่เห็นแก่ตน ก็ไม่มีทางที่จะผิดนับตั้งแต่ศีลเล็กๆน้อยๆขึ้นไป หรือแม้แต่ผิดมรรยาท
* การมีสติไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็คือความไม่ประมาท สติ แปลว่า ระลึกได้ ปัญญา แปลว่า รู้ทั่วถึง ปะ แปลว่า ทั่ว ญา แปลว่า รู้
* สติก็คือ ปัญญานั่นเอง แต่เป็นปัญญาที่มาในรูปฉับพลันกะทันหัน ทันควันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่มานั่งคิด นึกนึกตรึกตรอง อย่างนั้นไม่เรียกว่าสติ
* เช่น มีปัญญาเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเมื่อความรู้ความเข้าใจนี้มากะทันหัน ป้องกันไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเข้า อย่างนี้เรียกว่า สติ
* หลักปฏิบัติเพื่อจิตว่างหลักใหญ่ๆก็คือ 1) เมื่อมีอารมณ์มากระทบทางอายตนะทั้ง 6 เราต้องมีสติ และ 2) เมื่ออยู่ตามปกตินั้น เราจะต้องอยู่ด้วยปัญญา
* อารมณ์ในภาษาธรรมะหมายถึง สิ่งข้างนอกที่มากระทบใจ แปลว่าเป็นที่เกาะเกี่ยว เช่น รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นรส ฯลฯ ก็ดี มันเป็นที่ที่ใจจะไปเกาะเกี่ยว ไปหน่วงเอายึดเอาเป็นอารมณ์ มองดี ๆ แล้วโลกทั้งหมดนั่นแหละคืออารมณ์
* เมื่อมีอารมณ์มากระทบอายตนะเรียกว่า ผัสสะ ทางที่ดีควรมีสติรับรู้ให้ดับไปตรงนั้น ถ้าไม่ทันมันจะเกิดเป็นเวทนา (ออกเสียงว่า เว-ทะ-นา) ภาษาธรรมะแปลว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากการกระทบ ถ้ากำหนดสติให้เวทนาดับไปไม่ได้ จะปรุงเป็นตัณหา อุปาทาน และ ทุกข์ในที่สุด
* ในการทำการงานหรือกิจกรรมใดก็ตามก็ทำด้วยจิตว่างเสมอ เพราะจะได้ผลออกมาดี ไม่ว่าจะคิดเลข ตีเทนนิส ยิงธนู ฯลฯ ถ้าทำด้วยจิตวุ่นแล้วจะพลาด ถ้าทำงานด้วยจิตว่างได้จะมีความสุข
* แม้แต่จะไปดูหนังในโรงหนัง ถ้ามีสติก็จะเห็นความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของหนังนั่นเอง ในครั้งพุทธกาลมีคนบรรลุมรรคผลในโรงละครก็ยังมี
หนังสือชื่อ “สู่จิตว่าง” โดย พุทธทาสภิกขุ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ สิงหาคม 2552 100 หน้า ราคา 50 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “สู่จิตว่าง” ได้ที่ https://goo.gl/xGWZXz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น