คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 170 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “คิดแบบคนธรรมดาไปทำไม คิดแบบคนที่สำเร็จง่ายกว่า” เขียนโดยมืออาชีพ คือ กองบรรณาธิการนิตยสาร Secret ค่ะ
=ภาพรวม=
หนังสือรวมชีวประวัติบุคคลชั้นเยี่ยมของโลก 49 ท่านเล่มนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านผู้อ่านอย่างสุดๆค่ะ อย่าเพิ่งท้อนะคะถ้ารู้สึกว่าเล่มหนาและหนักเพราะประวัติของแต่ละท่านนั้นสั้นๆเพียง 2-3 หน้าเท่านั้นเองค่ะ แค่อ่านวันละรายท่านก็จะรู้สึกดีแล้วค่ะ
ไม่เพียงแต่ “วิธีคิด”ของผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกในสาขาอาชีพหลากหลายจะสอนอะไรเราได้มากมายแล้ว ในส่วนประวัติชีวิตก็น่าศึกษามากค่ะ ท่านจะพบรูปแบบบางอย่างที่คล้ายกัน เช่น การต้องเผชิญอุปสรรคอย่างหนักในชีวิต ความช่างสังเกต ความกล้าหาญ ความเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ฯลฯ ในเล่มแบ่งออกเป็น 1) คมความคิดจากนักสู้ 2) คมความคิดจากนักคิดนอกกรอบ 3) คมความคิดจากผู้สร้างแรงบันดาลใจ 4) คมความคิดจากผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง และ 5) คมความคิดจากผู้ให้ อีกทั้งแต่ละบทจะคั่นด้วยคำคมสร้างแรงบันดาลใจที่เยี่ยมยอดค่ะ
ถ้าท่านกำลังมองหาของขวัญที่มีประโยชน์จริงๆให้กับใครสักคน เล่มนี้ใช่เลยค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* พ่อของสตีเฟน สปีลเบิร์กเล่าว่าลูกชายเป็นเด็กที่ตื่นเต้นกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และสนใจจ้องมองสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ
* พ่อของนางมาร์กาเรต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษ สอนลูกสาวเสมอว่า “อย่าทำอะไรเพียงเพราะคนอื่นเขาทำกัน แต่ต้องรู้จักคิดด้วยตัวเอง เชื่อมั่นในตนเอง พยายามให้มากกว่าคนอื่นๆและรู้จักยอมรับความผิดพลาด”
* แม้สตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกฉายา“ทายาทของไอน์สไตน์”จะป่วยจนพูดไม่ได้และเป็นอัมพาตยกเว้นนิ้วมือสองนิ้ว แต่เขาก็ยังสรรสร้างผลงานทางวิชาการชิ้นสำคัญของโลกออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เขาบอกว่า “คนเราไม่ควรสิ้นหวัง”
* เคล็ดลับการทำงานของบียองเซ่ 1) ตื่นแต่เช้าพร้อมกับการมองโลกในแง่ดี 2) พยายามให้มากๆและฝันให้ใหญ่เข้าไว้ 3) ดูแลสุภาพ 4) ทำงานอย่างฉลาด และ 5) เปิดรับสิ่งใหม่ๆ
* เจเรอมี ลิน นักบาส NBA เชื้อสายเอเชียที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมักมาถึงสนามเป็นคนแรก กลับเป็นคนสุดท้าย ซ้อมอย่างหนักโดยไม่เคยบ่น ถ่อมตัว และมักแสดงออกทางบวกกับทุกคน
* เปาโล ฟาซีโอลี ผสมผสานความรักเปียโนเข้ากับทักษะทางวิศวกรรมเครื่องกล, ประสบการณ์ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของที่บ้าน, การมองเห็นเป้าหมายอย่างชัดเจนด้วยความเชื่อมั่น และการค้นคว้าทุ่มเทอย่างถึงที่สุด จนกลายเป็นสุดยอดนักผลิตเปียโนของโลก
* ทอม ฟอร์ด ดีไซเนอร์ใหญ่ของกุชชี่ในปี 2000 กล่าวว่า ลิยา เดเบเด นางแบบระดับโลกชาวเอธิโอเปีย “มีออร่าของความดีและความสงบที่สะกดใจผมได้”และเซ็นสัญญาให้เธอเป็นนางแบบประจำของกุชชี่ สิ่งที่ลิยาทำมาโดยตลอดคือทุ่มเทกับงานช่วยเหลือผู้ยากไร้จนเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
* เซเรนา วิลเลียมส์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะทำอะไร เธอจะทุ่มเท 200% เสมอ
* โมนีค ฟาน เดอ ฟอร์ส สามารถเอาชนะโรคร้ายและอุบัติเหตุที่ทำให้เธอเป็นอัมพาต ฟื้นตัวขึ้นมาจากการมุ่งมั่นทำกายภาพบำบัดอย่างไม่ย่อท้อจนสามารถเข้าร่วมทีมจักรยานระดับท็อปของเนเธอร์แลนด์ได้
* เมื่อโทมัส ทรานสโตรเมอร์ กวีเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2011 เกิดหัวใจวายเฉียบพลันในปี 1990 แล้วไม่สามารถพูดและขยับร่างกายซีกขวาได้ เขาไม่เคยหมดกำลังใจ หันมาพัฒนามือซ้ายด้วยการเล่นเปียโน และสามารถสร้างงานเขียนระดับโลกออกมาได้อีกอย่างต่อเนื่อง
* มาร์ทา ดา ซิลวา สุดยอดนักฟุตบอลหญิงระดับโลกชาวบราซิลผู้ชื่นชอบการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กนั้นโดนกลั่นแกล้งไม่ให้เล่นมาโดยตลอด ถึงขนาดเคยโดนพี่ชายคนโตลงไม้ลงมือกับเธอเพื่อห้ามเธอเล่น
* สตีฟ จอบส์ – “…บางครั้งชีวิตอาจทำให้คุณเจ็บ แต่จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่น สิ่งเดียวที่ทำให้ผมลุกขึ้นสู้ต่อคือความรักในสิ่งที่ผมทำ…คุณจะสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยการ “รัก” ในสิ่งที่คุณทำเท่านั้น…”
* นาตาลี พอร์ตแมน นักแสดงหญิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ รู้ตัวตั้งแต่อายุ 8 ขวบว่าต้องการจะเป็นมังสวิรัติตลอดชีวิต นอกจากเรียนเก่งระดับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้ว เธอยังทุ่มเทให้กับงานสาธารณกุศลอีกมากมายหลายองค์กรอีกด้วย
* เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจหลากหลายประเภทมากเป็นผู้ที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง (Dyslexia) ทำให้ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะอ่านออกเขียนได้เหมือนคนอื่น ความฝันล่าสุดของเขาอยู่ที่การทุ่มเทพิทักษ์โลกให้น่าอยู่สำหรับคนรุ่นหลังอย่างน้อยอีก 7 รุ่น
* ทะดะโอะ อันโดะ สถาปนิกชื่อดังระดับโลก ศึกษาวิชาสถาปนิกด้วยตนเอง เมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆที่พังทลายในแผ่นดินไหวที่โกเบ อาคารที่เขาสร้างทั้ง 35 หลังกลับเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาได้ใช้เงินรางวัล 100,000 เหรียญที่ได้จาก “รางวัลโนเบลสำหรับสถาปนิก”ก่อตั้งมูลนิธิสำหรับเด็กกำพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
* ถึงแม้จะขึ้นธุรกิจอีเบย์ของเขาจะทำรายได้หลายพันล้านเหรียญภายในไตรมาสเดียว แต่ปีแอร์ โอมิดียาร์ กลับตัดสินใจวางมือจากงานบริหารและหันหน้ามาทำการกุศลแทนด้วยความรู้สึกว่าต้องตอบแทนสังคม เขาวางแผนจะมอบเงิน 99% ของเขาให้กับการกุศลในอีกยี่สิบปีข้างหน้า และเหลือไว้ใช้เพียง 1% เท่านั้น
* เจมี่ โอลิเวอร์ เชฟระดับโลกเป็นผู้มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง อ่านหนังสือออกช้ามากแต่รักการทำอาหารตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้เขาประสบความสำเร็จทั้งในฐานะผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่โด่งดัง ทำภัตตาคาร เขียนหนังสือเกี่ยวกับอาหารหลายเล่ม ทำการกุศลมากมาย และรณรงค์ให้เด็กๆรู้จักกินอาหารที่มีคุณค่าจนรัฐบาลอังกฤษต้องออกปฏิญญาในการดูแลเรื่องสารอาหารสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรก
* อิงวาร์ คัมปราด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอิเกีย มีอาการเรียนรู้บกพร่องแต่มีหัวการค้ามากกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกด้วยการใช้โรงเก็บของในสวนขายเมล็ดพันธุ์พืช ภายในปีเดียวก็เก็บเงินซื้อจักรยานได้ เป็นคนช่างสังเกต สามารถเล็งเห็นโอกาสได้มากกว่าผู้อื่น มัธยัสถ์ ให้ความสำคัญกับพนักงาน และใช้วิธีแบ่งเวลาในชีวิตเป็นหน่วยย่อยๆ10 นาทีแล้วพยายามใช้เวลาแต่ละหน่วยให้สูญเปล่าน้อยที่สุด
* เคล็ดลับของทาดาชิ ยานาอิ ผู้ก่อตั้ง “ยูนิโคล่” มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของญี่ปุ่น คือ 1) อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าตนไม่เหมาะกับงานใด แต่ควรลองทำดูก่อน 2) จงเชื่อมั่น อย่ายอมให้ใครมาบอกว่า “ทำไม่ได้” 3) คำนึงถึงคุณภาพอย่างที่สุด 4) เรียนรู้จากข้อผิดพลาด 5) การตอบแทนโลกและสังคมสำคัญยิ่งกว่าการทำยออดการขาย
* องค์ทะไลลามะ – “…อาตมาเป็นเพียงภิกษุรูปหนึ่ง ไม่มีอะไรมากกว่านี้…” “…อาตมาพบว่าความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมากจากการพัฒนาความรักและความเห็นอกเห็นใจ ยิ่งเราห่วงใยในทุกข์สุขของผู้อื่น เรายิ่งเป็นสุข…”
* คุโรยานางิ เท็ตสึโกะ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง ถูกให้ออกจากชั้นประถมหนึ่งหลังจากเริ่มเข้าเรียนได้ไม่กี่วันเพราะเธอชอบทำอะไรหลายๆอย่างที่รบกวนสมาธิของเพื่อนๆ แต่เธอได้แรงบันดาลใจจากครูใหญ่ในโรงเรียนใหม่จนประสบความสำเร็จอย่างสูงในหน้าที่การงาน และได้เป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตของยูนิเซฟด้วย
* แอนโทนี รอบบินส์ นักสร้างพลังชีวิต (Life Coach) ชื่อดังมีชีวิตวัยเด็กที่กระพร่องกระแพร่ง เริ่มหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุ 17 ปีด้วยการเป็นภารโรงรับค่าจ้างเพียงสัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์ ถึงแม้จะไม่ได้เรียนต่อแต่ก็เป็นนักอ่านตัวยง เขากล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตที่มีความสุขคือการทำตนให้เป็นคนที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ”
* ศาสตราจารย์อมารตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย ได้รับอิทธิพลความเป็นนักวิชาการจากครอบครัวตั้งแต่เด็ก เป็นคนแรกที่ประกาศให้โลกตระหนักว่าบรรทัดฐานในการวัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศขึ้นอยู่กับความสุขของประชาชน ตอนได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1998 คณะกรรมการสดุดีท่านว่า “เป็นผู้ฟื้นฟูมิติด้านจริยธรรมให้กลับคืนมาสู่ระบบเศรษฐกิจอีกครั้ง”
* เฉิน กวงเปียว มหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของจีนเป็นลูกชาวนาที่ยากจนมากถึงขนาดเคยสูญเสียพี่น้องไปเพราะความอดอยากถึงสองคน ถึงจะจนพ่อก็ไม่เคยสอนให้ลูกเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่เงิน แต่สอนว่าคนดีคือคนที่อดทนและมีน้ำใจ เมื่ออายุ 10 ปีเขาต้องใช้เวลาพักเที่ยงหาบน้ำจากบ่อน้ำที่อยู่ห่างหมู่บ้าน 2 ก.ม.เพื่อส่งเสียตัวเองเรียน และช่วงหน้าร้อนทำงานเพิ่มจนส่งเสียเพื่อนบ้านวัยเดียวกันได้ด้วย ทุกวันนี้เขายังใช้ชีวิตสมถะเรียบง่าย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และรักภรรรยาและลูกๆมาก ช่วงปิดเทอมเขาจะพาครอบครัวไปอยู่กับคนยากจนที่เขาเคยช่วยเหลือในชนบทเพื่อให้ลูก ๆ รู้จักความทุกข์ยากที่คนจนต้องเผชิญ เขาตั้งเป้าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้กับการกุศลหลังจากเขาเสียชีวิต “พ่อแม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ผม และผมก็ไม่ปรารถนาจะทิ้งอะไรไว้ให้ลูกๆนอกจากความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ซึ่งได้มาจากการทำงานการกุศล” ซึ่งเขาก็น่าจะสบายใจได้ เพราะลูกชายคนเล็กของเขาเคยพูดว่า “…พ่อของผมเป็นคนใจบุญระดับท็อปของประเทศจีน แต่ผมจะเป็นคนใจบุญระดับท็อปของโลก…”
* เอคฮาร์ท ทอลเลอ กูรูด้านจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียง เจ้าของผลงานหนังสือ The Power of Now พบว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความไม่เป็ฯมิตร จึงขอพ่อออกมาอยู่บ้าน และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือนานาชนิด หลากหลายภาษา เริ่มทำงานเป็นมัคคุเทศก์ตั้งแต่อายุ 17 เคยเป็นโรคซึมเศร้าเกลียดตนเองคิดฆ่าตัวตายจนกระทั่งเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาคืนหนึ่งว่า หากเขาสามารถเกลียดตนเองได้ แสดงว่าผู้เกลียดและผู้ถูกเกลียดไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ต้องมีคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นตัวจริง แล้วเขาก็สลบไป เมื่อเขาฟื้นขึ้นเขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสวนสาธารณะ มีผู้คนจำนวนมากสังเกตเห็นว่าเขามีความสุขอย่างยิ่งและมาขอให้เขาสอน
* ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้ก่อตั้งสตูดิโอจิบลิที่ผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับโลกรู้ตัวว่าต้องการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นตั้งแต่เด็กเพื่อให้เด็กๆมีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาเพื่อยืนหยัดในความดีงาม
* โบโน นักร้องนำวงร็อค ยูทู ที่โด่งดังและนักการกุศลระดับโลก สมัยเด็กลำบากมาก อดมากกว่าอิ่มจึงเข้าใจคนที่ขาดแคลนเป็นอย่างดี เขาร่วมก่อตั้งและสนับสนุนองค์กรการกุศลมากมาย เขาตั้งชื่อวงว่ายูทูเพราะต้องการให้คนอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้เช่นกัน
* เอลา ราเมช ภัตต์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีชาวอินเดียเกิดในวรรณะพราหมณ์แต่ชอบอุทิศตัวช่วยเหลือคนยากจนโดยเฉพาะสตรีอินเดียที่ตกอยู่ในฐานะพลเมืองชั้นสอง เธอก่อตั้งธนาคารรายย่อยสำหรับสตรีเพื่อให้เงินกู้ผู้หญิงที่ต้องการสร้างอาชีพให้ตนเองและได้เปลี่ยนชีวิตสตรีอินเดียหลายล้านคน
* “…ความฝันของคุณต้องยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คุณจะสามารถทำได้สำเร็จ ถ้าความฝันไม่ทำให้คุณกลัว นั่นแปลว่ามันยังยิ่งใหญ่ไม่พอ…” — เอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไลบีเรียและคนแรกของทวีปแอฟริกา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2011 กล่าวในสุนทรพจน์วันจบการศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
* กีรัน เบดี “นายตำรวจหญิงคนแรกของอินเดีย” ได้รับการสนับสนุนจากพ่อและแม่ตั้งแต่เด็กให้เรียนอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงจำนวนมากมายของเธอคือการจัดคอร์สวิปัสสนาในเรือนจำขึ้น ซึ่งปรากฏว่าสามารถฟื้นฟูจิตใจทั้งของนักโทษและผู้คุมได้เป็นอย่างดี ทำให้คุกกลายเป็นสถานที่ฟื้นฟูและปฏิรูปพลเมืองอย่างแท้จริง
* วังการี มาทาอี สตรีนักรณรงค์การปลูกต้นไม้และสร้างงานให้คนจนชาวเคนยาเคยโดนกลั่นแกล้งมากมาย แม้แต่รัฐบาลที่มองเธอเป็นปรปักษ์ก็เคยจับเธอคุมขังหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยท้อ และในที่สุดก็ได้รับเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในที่สุดในปี 2004 นับเป็นสตรีชาวแอฟริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้
* แม้จะเคยโดนรัฐบาลชาวผิวขาวของแอฟริกาใต้จับขังคุกและให้ทำงานหนักมาตลอด 26 ปี เนลสัน แมนเดลาก็ทำให้เพื่อนร่วมชาติชาวแอฟริกันผิวขาวรู้ได้ผ่านรอยยิ้มอันกระจ่างสดใสว่าเขาไม่มีความเคียดแค้นหลงเหลืออยู่
* บิล เกตส์ อดีตบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก เจ้าของทรัพย์สินมูลค่ากว่า 82,000 ล้านดอลลาร์ตัดสินใจอำลาตำแหน่งซีอีโออย่างถาวรเพื่อทุ่มเทเวลา กำลังสติปัญญา และกำลังทรัพย์เพื่อการกุศล เขาตั้งใจจะแบ่งมรดกให้ลูกๆ เพียงคนละ 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
* เปาโล โคเอโย นักเขียนชื่อดังชาวบราซิลผู้มีผู้ติดตามในทวิตเตอร์ถึง 9.6 ล้านคน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นนักเขียนที่ดังที่สุดหรือรวยที่สุด แต่ก็มีความสุขมากเพราะเป็นคนชอบทำการกุศล เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อแบ่งปัน เขาเคยโพสต์หนังสือของเขาทั้งเล่มลงในอินเทอร์เน็ตฟรีๆแต่กลายเป็นว่าคนกลับซื้อหนังสือของเขามากกว่าเดิม ยอดขายทะลุล้านเล่มภายในเวลาเพียง 3 ปี จนถึงทุกวันนี้เขาไม่เคยคิดจะปกป้องลิขสิทธิ์ของตนเอง เขาเขียนเพราะอยากแบ่งปันเรื่องราวดี ๆ ร่วมกับคนทั่วไป
* เอลินอร์ ออสตรอม นักเศรษฐศาสตร์หญิงรางวัลโนเบลคนแรกและคนเดียวของโลก ได้รับรางวัลจากผลงานวิเคราะห์ธรรมาภิบาลทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสมาชิกทุกคนในชุมชน เธอเชื่อมั่นในการแบ่งปันกันอย่างยิ่ง แม้แต่ข้อมูลการทำวิจัย เธอมองว่าถ้ามีการรวบรวมและแบ่งปันกันก็จะทำให้ได้ผลที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
* แม่ของจิมมี่ เวลส์ ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสารานุกรมโลกชุดใหญ่ให้ลูกชาย และเขาก็ไม่ทำให้แม่ผิดหวังด้วยการเป็นคนรักการอ่านและชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ในที่สุดเขาก็ตั้งเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ วิกิพีเดีย ขึ้นมา โดยไม่คิดเงินผู้ใช้ เขาเชื่อว่า “ความรู้ไม่มีราคา” ทุกวันนี้วิกิพีเดียมีบทความกว่า 17 ล้านชิ้น เขียนด้วยภาษาต่าง ๆ กว่า 270 ภาษา มีอาสาสมัครมากกว่าหนึ่งแสนคน ติดอันดับเว็บไซต์ที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลกในปีค.ศ. 2014
* “…มนุษย์ควรช่วยเหลือกันและกัน เพราะระหว่างที่เรากำลังให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอยู่นั้น เราก็จะค้นพบความสุขภายในใจของเราเองด้วย…” — เจ็ท ลี นักแสดงชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นฮีโร่นอกจอ ด้วยการก่อตั้งมูลนิธิการกุศลช่วยเหลือคนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ประสบภัยพิบัติ เขาคิดตั้งมูลนิธิขึ้นมาหลังจากมีผู้ช่วยให้เขาและครอบครัวรอดตายจากเหตุสึนามิในปี 2004 วันนั้นเขาตัดสินใจว่า จากนี้ไปเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
* ถึงแม้ครอบครัวของมุฮัมหมัด ยูนัส ยากจนมาก แต่พ่อแม่ก็สนับสนุนให้เขาเรียนหนังสือและมอบความรักให้เต็มที่ จึงทำให้เขาเติบโตมาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและโอบอ้อมอารี เขามองเห็นโอกาสในการที่จะแก้ปัญหาคนจนไม่มีเงินทุนทำกินได้ จึงตั้ง กรามีนแบงค์ (ธนาคารหมู่บ้าน) ถึงแม้จะได้รับการต่อต้านจากหลายฝ่ายในตอนแรก แต่เขาสามารถใช้กรามีนแบงค์ลดอัตราความยากจนของบังคลาเทศจากร้อยละ 74 ในปี 1974 เหลือร้อยละ 40 ในปี 2005 และกลายเป็นธนาคารต้นแบบที่กว่า 100 ประเทศนำไปแก้ปัญหาความยากจน ในที่สุดเขาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2006
* ชีฟ นาดาร์ มหาเศรษฐีใจบุญชาวอินเดียชอบทำบุญด้วยการให้ความรู้ เขามองว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่าต้องเริ่มที่การศึกษาเป็นอันดับแรก เขาอุปการะเด็กปีละหลายพันคนและบริจาคเพื่อการศึกษาไปแล้วกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
* เนปาลเป็นพื้นที่ที่มีผู้ป่วยที่สูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อกระจกมากกว่าที่ใดในโลก คือ ประมาณปีละ 150,000 คน แต่ก็มีจำนวนของผู้ที่ตาบอดแล้วกลับมาเห็นใหม่มากที่สุดในโลกเช่นกัน คือ 100,000 คน โดยฝีมือของนพ.ซานดุ๊ก รูอิทหมอใจบุญผู้เสียสละอาสาไปผ่าตัดให้ฟรีและคิดค้นเลนส์ตาเทียมราคาถูกกว่าท้องตลาดได้ถึง 50 เท่าจนโดนโจมตีจากเจ้าตลาดเดิมๆ คุณหมอรูอิทไม่หวงวิชาและพยายามถ่ายทอดเทคนิคออกสู่แพทย์รุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด เขาได้รับรางวัลแม็กไซไซในปี 2006 และรางวัลเจ้าฟ้ามหิดล สาขาสาธารณสุขในปี 2007
* หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ประจำปี 2010 เป็นแม่ค้าขายผักชาวไต้หวันชื่อ เฉิน ซู่จวี๋ เธอตื่นตีสองตีสามเพื่อไปซื้อผักในตลาดขายส่งเพื่อมาขายที่ร้านของเธอทุกวันจนถึง 2 ทุ่ม เธอใช้ชีวิตอย่างสมถะและอดออม จนสามารถแบ่งรายได้เพื่อบริจาคให้สถานเด็กกำพร้า โรงเรียน ฯลฯ ไปแล้วกว่า 10 ล้านดอลล่าร์ไต้หวัน แรงบันดาลใจที่ทำให้เธอลุกขึ้นช่วยเหลือผู้อื่นคือเมื่อตอนเธอเด็ก ๆ และยากจนมาก เคยมีเพื่อนบ้านและครูของน้องชายให้ความช่วยเหลือเมื่อแม่และน้องชายของเธอป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลแต่ครอบครัวเธอไม่มีเงิน
* แม้จะมีงานล้นมือ แต่เฉินหลงก็จะแบ่งเวลาเพื่อทำการกุศลอย่างสม่ำเสมอ นอกจากมูลนิธิของเขาเอง เขายังช่วยองค์กรการกุศลอื่นๆและเป็นทูตของสหประชาชาติอีกด้วย เขาชอบทำการกุศลเพราะตอนเด็กๆตัวเขาเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อน
* แมนนี่ ปาเกียว นักชกระดับโลกชาวฟิลิปปินส์ สมัยเด็กเคยยากจนมากและเคยเป็นเด็กจรจัดขายของตามสี่แยกและอาศัยกล่องกระดาษนอน ทุกวันนี้เขาทำการกุศลมากมาย มอบทุนการศึกษาแก่เด็กๆไปแล้วกว่า 250 คน บริจาคเงินให้โรงพยาบาล 300 แห่ง และมักทำทานครั้งใหญ่ในวันเกิดทุกครั้ง เขาเชื่อว่าเขาได้รับโอกาสจากผู้อื่นมามาก จึงต้องตอบแทนด้วยการเป็นผู้ให้บ้าง
หนังสือชื่อ “คิดแบบคนธรรมดาไปทำไม คิดแบบคนที่สำเร็จง่ายกว่า” โดย กองบรรณาธิการนิตยสาร Secret สำนักพิมพ์ Amarin How-To กุมภาพันธ์ 2558 305 หน้า ราคา 225 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตามหนังสือ “คิดแบบคนธรรมดาไปทำไม คิดแบบคนที่สำเร็จง่ายกว่า” ได้ที่ https://goo.gl/9LqGHU
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น