วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากหายเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 160 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” ค่ะ



=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยจิตแพทย์เกาหลีวัย 80 ที่ยังแข็งแรงทั้งกายใจ ผู้ซึ่งสามารถทำงานได้วันละ 15 ชั่วโมงโดยไม่เหน็ดเหนื่อย อ่านหนังสือสัปดาห์ละ 5 เล่ม และเขียนหนังสือมาแล้ว 73 เล่มค่ะ
ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดลับอยู่ที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมองล้าและรู้วิธีการบำบัดภาวะดังกล่าวค่ะ หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงสาเหตุต่างๆของสมองล้าอย่างละเอียดและนำเสนอวิธีปรับปรุงการใช้ชีวิตเพื่อให้คุณเป็น “มนุษย์พลังสมอง”ค่ะ
ถึงแม้ขนาดเล่มจะค่อนข้างหนาและมีเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะเป็นวิชาการบ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ยากเกินไปและคุ้มค่าที่จะสละเวลาอ่านเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  ในเกาหลี ผู้ป่วยภาวะเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue) เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ในปี 2003 มีผู้ที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลนานถึง 6 เดือนจำนวน 4,500 คน ในปี 2008 พุ่งขึ้นถึง 100,000 คน
*  สมองล้า หมายถึงสมองที่ทำงานไปนานๆแล้วเหนื่อยอ่อน แต่ต่างกับอาการล้าทางร่างกายตรงที่ตอนเริ่มเป็นจะมีมีอาการผิดปกติแน่ชัด ขั้นเริ่มต้นเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวว่าเหนื่อย ความเครียดคือสาเหตุหลักของสมองล้า
*  อาการอันดับหนึ่งของสมองล้าคือ “สายตาอ่อนเพลีย”  ตัวการหลักคือคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน
*  ความละโมบ “เอาอีกๆ” ความต้องการสิ่งที่ใหญ่กว่า ดีกว่า ใหม่กว่าอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้สมองล้า
*  ถ้าสมองล้าแล้วยังทู่ซี้ทำงานต่อไป ทั้งร่างกายและจิตใจจะเริ่มต่อต้าน ขาดสมาธิ หัวตื้อ คิดอะไรไม่ออก ร่างกายจะบีบให้พักผ่อน ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยๆจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้
*  สมองล้าส่งผลต่อสมองทั้งก้อนและร่างกายทั้งร่าง ทำให้เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เบาหวาน โรคอ้วน ผิวหยาบกร้าน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภูมิคุ้มกันตกทำให้มีอาการอักเสบเกิดขึ้นตามอวัยวะต่างๆ
*  หนึ่งในวิธีลดอาการสมองล้าคือ การคิดบวก สนุกกับสิ่งที่ทำ มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะสร้างความผ่อนคลายให้สมอง
*  ไม่ควรหลอกสมองด้วยสารกระตุ้น เช่น บุหรี่ หรือ สุรา เพราะจะส่งผลเสียเป็นวงจรหนักขึ้นไปอีก กาแฟแก้วสุดท้ายควรเป็นหลังมื้อเที่ยงเท่านั้นไม่เช่นนั้นจะรบกวนคุณภาพการนอนตอนกลางคืน
*  สภาพสมองในอุดมคติคือสมองแบบเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง บทบาทสำคัญของเซโรโทนินคือคงความสงบให้แก่จิตใจ การเจริญสติภาวนาที่สร้างความสงบให้แก่จิตใจเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันสมองล้า
*  ความรู้สึกประทับใจมีอิทธิพลมากต่อนีโอคอร์เทกซ์ของสมองใหญ่และสมองส่วนหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างพลังให้สมอง  การที่สมองจะประทับใจได้ต้องปลอดโปร่ง ผ่อนคลายก่อน จิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวลจะไม่สามารถรู้สึกประทับใจได้
*  เมื่อตกอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจครั้งหนึ่ง วงจรคิดลบจะวนเวียนต่อเนื่องในสมอง เกิดเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี สมองจะอ่อนแอกับเรื่องแง่ลบมากแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย การสลัดเรื่องไม่ดีออกจากหัวสัก 1 เรื่องต้องเจอเรื่องดีให้มากกว่าถึง 7 เท่าเสียก่อน (หรือไม่ก็ฝึกการเจริญสติภาวนา – ผู้วิจารณ์)
*  มื้อเช้าเป็นพลังงานสมอง สมองที่ขาดกลูโคสจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไดเอตอย่างหนักหน่วงส่งผลให้สมองล้าและเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์
*  นอกจากเรื่องอาหารแล้วต้องปรับนิสัยในชีวิตประจำวัน และทานยาบำรุงสมองบ้าง (ในเล่มมีแนะนำ)
*  การใช้ชีวิตในเมืองตลอดเวลาสร้างความเครียดต่อประสาทสัมผัสทั้งห้า ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติบ้าง  มนุษย์อยู่กับธรรมชาติมานาน ในดีเอ็นเองเราจึงผนึกความถวิลหาธรรมชาติเอาไว้
*  สมองชอบตอนเช้า มีคนเพียง 1% เท่านั้นที่ตื่นตั้งแต่ตีห้า และจำนวนคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในชีวิตก็มีแค่ 1% เช่นกัน เรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ การนอนดึกไม่ดีต่อสมอง ยีนมนุษย์มีวิวัฒนาการมาให้อยู่รอดได้โดยสว่างออกไปหาอาหาร มืดก็กลับมานอน ห้ามใช้มือถือหลังสี่ทุ่ม
*  ตอนเช้าคือช่วงเวลาที่ร่างกายเตรียมพร้อมทำงาน ทั้งฮอร์โมน ความดันเลือด อุณหภูมิในตัว การเผาผลาย ฯลฯ ขืนนอนอุตุตื่นสายกลไกนี้จะถูกสกัดไว้ ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ
*  สิ่งแวดล้อมในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญมาก ห้องโล่งๆสะอาดสะอ้านจะดีต่อสมอง มีรายงานจิตวิทยาว่าดัชนีชี้วัดความสำเร็จกับพื้นที่ห้องที่ตามองเห็นมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างละเอียดอ่อน ห้องของคนที่ประสบความสำเร็จมักไม่มีของระเกะระกะวางอยู่บนพื้นและเห็นพื้นห้องอย่างชัดเจน
*  แค่อยู่กับผู้อื่นก็ทำให้สมองล้าได้ แต่ละวันควรมีเวลาของตัวเองเงียบๆปลีกตัวเข้าห้องส่วนตัวหรือมุมส่วนตัว ห้ามคิดเรื่องงาน ทำสมาธิให้จิตสงบ แล้วความคิดสร้างสรรค์ดีๆจะเกิดขึ้นได้เอง
*  เมื่อสมองไม่อยู่ในโหมดทำงานห้ามพูดติดปากว่า “ฉันทำไม่ไหว!” เพราะคำพูดด้านลบจะฝังลึกในสมองและยากจะลบเลือน ทำให้สมองทั้งก้อนมีแต่กระแสคิดติดลบ แต่ให้เติมพลังให้สมองแทน
*  มนุษย์มีพลังฟื้นตัวที่ยิ่งใหญ่ สมองเรามีโปรแกรมสู่หนทางที่ดีงาม ความสำเร็จ และความสุขอยู่ ต้องนำออกมาใช้ให้เป็น
หนังสือชื่อ “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” โดย อีชีฮยอง  แปลโดย ตรองสิริ ทองคำใส  สำนักพิมพ์ Shortcut ในเครืออมรินทร์  พิมพ์ครั้งที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558  207 หน้า  ราคา 195 บาท  มีจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญติดตาม “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” ได้ที่ https://goo.gl/2kifnY

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น