วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากฟังเคล็ดลับความสำเร็จจากปากประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นไหมคะ?


คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 116 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ช้าให้ชนะ” ค่ะ

=ผู้เขียนผู้น่าทึ่ง=
คาซุโอะ อินาโมริ มีประวัติที่น่าทึ่งมากค่ะ เขาตั้งบริษัทเคียวเซร่าเมื่ออายุเพียง 27 ปีและสามารถนำบริษัทผงาดขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นและระดับโลกจนสามารถควบรวมกิจการบริษัทอื่นๆเข้ามาด้วย เช่น มิต้า เขาไม่ได้เก่งเพียงสินค้าประเภทเดียว แต่สามารถนำความเป็นมืออาชีพพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีอื่นๆ ขึ้นมาได้อีกหลากหลาย ขยายจากธุรกิจอีเล็คโทรนิคส์ไปครอบคลุมธุรกิจสื่อสารคมนาคมได้อย่างสง่างาม  ก่อนมือถือจะบูมเขาเป็นคนแรกที่มองเห็นอนาคตของธุรกิจมือถือของญี่ปุ่นอย่างชัดเจนว่าจะต้องเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทุกคนต้องมีในขณะที่ผู้บริหารอื่นๆพากันส่ายหัวและหัวเราะอย่างไม่เชื่อ เมื่อเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาตอนวัย 72 เขาก็กลายเป็นตำนาน หนังสือเล่มนี้ได้ชื่อว่าเป็น “หนังสือธุรกิจขายดีตลอดกาล” ของญี่ปุ่น จนกระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นอ่านแล้วถึงกับเชิญตัวเขาไปกอบกู้วิกฤติของแจแปน แอร์ไลน์ส ในฐานะประธานบริษัทตอนที่เขาวัย 78 ปีแล้ว!!
ที่น่าทึ่งคือเขาใช้เวลาเพียง 2 ปีพลิกสถานะของแจแปน แอร์ไลน์สจากสภาวะล้มละลายเป็นการสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของโตเกียวได้อีกครั้ง!


=ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้ไม่เหมือนหนังสือเคล็ดลับธุรกิจทั่วไปค่ะ ในช่วงแรกๆท่านจะรู้สึกว่าเหมือนอ่านหนังสือปรัชญา แต่นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการถ่ายทอดจริงๆ ชื่อหนังสือภาษาญี่ปุ่น ikikata (生き方) นั้นแปลว่า “วิธีใช้ชีวิต” ค่ะ  ถ้าเคยท่านปฏิบัติธรรมท่านจะรู้สึกคุ้นๆกับหลายสิ่งที่เขาเขียนถึงมาก  ทั้งนี้เพราะเขาเคยเข้าปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้นที่วัดเซนและใช้ชีวิตอย่างพระเซนมาตั้งแต่ตอนอายุ 65 นั่นเองค่ะ
ผู้วิจารณ์รู้สึกว่าชื่อหนังสือภาษาไทยและข้อความบนปกหลังไม่ตรงกับแก่นแท้ของหนังสือและเนื้อหาโดยรวมนัก แต่ก็เข้าใจว่าเขาคงต้องการวาง positioning หนังสือว่าเป็นหนังสือแนะแนวธุรกิจมากกว่าปรัชญาเพื่อให้ขายง่ายขึ้นค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
*  เราอยู่ใน “ยุคแห่งความวิตกกังวล” แม้จะมีเงินทองเพียบพร้อมแต่เราก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ทั้งนี้เพราะผู้คนขาดหลักการ(คุณธรรม)ที่ดีในการดำเนินชีวิต สิ่งแรกที่ควรทำคือถามตัวเองว่า “เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร”
*  หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงพิจารณาความหมายของการเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพยายามค้นหาเป้าหมายและแนวทางการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดด้วย
*  สำหรับผม เป้าหมายในชีวิตคือการยกระดับจิตใจและขัดเกลาจิตวิญญาณของเราให้บริสุทธิ์  ถ้าคุณถามผมว่า “เกิดมาเพื่ออะไร” ผมจะตอบว่าเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนดีกว่าตอนเกิดมา และจากไปพร้อมกับจิตวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้น
*  เราจะค้นพบเป้าหมายและคุณค่าของชีวิตได้ก็ต่อเมื่อพยายามทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานเท่านั้น
*  คนเก่งๆหลายคนหลงเดินทางผิดเพราะมีความสามารถมากกว่าศีลธรรม
*  ตอนผมตั้งเคียวเซร่าเมื่ออายุ 27 ผมแทบไม่มีประสบการณ์ จึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมมองว่าถูกต้องในฐานะมนุษย์ คือ การไม่โกหก ไม่เบียดเบียนใคร ไม่โลภ และไม่เห็นแก่ตัว ผมนำกฏเหล่านี้มาใช้เป็นนโยบายธุรกิจและเกณฑ์การตัดสินใจเรื่องต่างๆ
*  เนื้อหาส่วนหนึ่งของเล่มนี้จะพูดถึงความสำคัญของ “วิริยะ” หรือความเพียรพยายามซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าจะช่วยนำผู้ปฏิบัติไปสู่เส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้
*  การทำงานมีความสำคัญและมีคุณค่าต่อมนุษย์มากกว่าแค่การหาเลี้ยงชีพ มันช่วยให้เราไม่ถูกความเห็นแก่ตัวครอบงำ ทั้งยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาตัวตนและจิตใจ (ตรงนี้เขาพูดเหมือนท่านพุทธทาสเคยเทศน์ไว้เลยค่ะ – ผู้วิจารณ์)
*  แค่คุณรักงาน (มีฉันทะ) และทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง (ด้วยวิริยะ) ก็พอแล้ว
*  มีสุภาษิตละตินกล่าวไว้ว่า “แทนที่จะสร้างงานที่สมบูรณ์แบบ เราควรทำให้คนที่ทำงานนั้นสมบูรณ์แบบแทน” ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้ใครสักคนสมบูรณ์แบบได้ก็คือการทำงานหนักนี่แหละ
*  ผมมักแนะนำพนักงานว่า “จงใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความจริงใจ” ซึ่งก็คือการไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์  การทำงานไม่ได้แค่เพิ่มพูนเงินทองเท่านั้น แต่ยังเพิ่มคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวเราด้วย
*  นอกจากการทุ่มเททำงานจะช่วยพัฒนาตัวตนของเราให้ดีขึ้นแล้ว ยังนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงในชีวิตด้วย
*  เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีความสุข คำตอบของผมซ่อนอยู่ในสูตรต่อไปนี้ “ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความพยายาม x ความสามารถ”
*  ทัศนคติเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดและสามารถกำหนดชีวิตเราได้เลยทีเดียว  มีความหมายครอบคลุมถึงหลักการและความเชื่อส่วนบุคคลด้วย ทัศนคติเป็นปัจจัยเดียวที่ผมตั้งเกณฑ์ประเมินไว้ที่ -100 ถึง 100  ดังนั้น ต่อให้คุณมีความสามารถและพยายามอย่างหนักแค่ไหน แต่ถ้ามีทัศนคติที่ไม่ดี (หรือไม่มีคุณธรรม) ผลที่ออกมาก็จะไม่ดีตามไปด้วย
*  ถ้าเข้าใจกฏของเหตุและผล (กฏแห่งกรรม) ก็เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้
*  ชีวิตจะมีความหมายเมื่อเราได้ทำสิ่งต่างๆอย่างดีที่สุด  ถ้าทำตามสิ่งที่ผมเสนอไปในหนังสือเล่มนี้ ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกบริษัท และทุกประเทศจะก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางที่ถูกต้องและพบกับผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าจะมาถึงเมื่อเราทุกคนเข้าใจภารกิจที่ได้รับมาในชีวิตนี้และพยายามใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมในฐานะมนุษย์
=สรุป=
ผู้วิจารณ์พบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแนะแนวชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่เคยอ่านมาค่ะ  ไม่ใช่แค่ในเรื่องหลักการ แต่ในเล่มยังมีตัวอย่างกรณีศึกษาจริงทางธุรกิจที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึง “การพบกันครั้งประวัติศาสตร์” เมื่อท่านผู้เขียนได้เข้าฟังการบรรยายโดยผู้ก่อตั้งพานาโซนิคและฮอนด้าเมื่อสี่สิบปีที่แล้วอีกด้วย และอย่าได้คิดว่าผู้เขียนเป็นเพียงผู้อาวุโสที่คร่ำครึล้าสมัยทีเดียวนะคะ  ในเล่มมีการยกตัวอย่างเนื้อหาของหนังสือวิทยาศาสตร์ดังร่วมสมัยอย่าง “ข้ามขีดจำกัด ปลุกพลังยีน” ที่ผู้วิจารณ์เพิ่งเขียนถึงไปไม่นานนี้ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านเป็นมืออาชีพที่ใฝ่รู้และล้ำสมัยมากคนหนึ่งทีเดียวค่ะ
ขอแนะนำไม่แต่เพียงสำหรับนักธุรกิจเท่านั้นนะคะ  แต่คัมภีร์ “วิธีใช้ชีวิต” เล่มนี้มีคุณค่าสำหรับทุกๆคนค่ะ  เพราะผู้เขียนได้พิสูจน์แล้วว่าท่านประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจริงๆเมื่อใช้ชีวิตตามหลักการในเล่มนี้
หนังสือชื่อ “ช้าให้ชนะ” โดย คาซุโอะ อินาโมริ สำนักพิมพ์วีเลิร์น  2558  208 หน้า ราคา 170 บาท
——————————————————————
เกร็ดน่ารู้:
*  เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
*  คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
*  แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์  “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ
——————————————————————-
ขอเชิญร่วมติดตามหนังสือสาระดีๆข้อคิดงามๆที่ชื่อว่า”ช้าให้ชนะ”ได้ที่ https://goo.gl/duMcRQ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น